การที่คนเราจะเลือกซื้อรถยนต์ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป มันคงเป็นเรื่องที่มากกว่าฟังก์ชั่นของการเป็นยานพาหนะที่พาเราเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ซึ่งแต่ละคนตีความคำว่า ‘แพง’ ต่างกันไป บางคนมองที่ดีไซน์ บางคนให้ความสำคัญกับสมรรถนะเครื่องยนต์ และบางคนมองแบรนด์เป็นสิ่งที่บ่งบอก status ทางสังคม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนมีอยู่ในรถยนต์หรูรุ่นใหม่อย่าง Maserati GranTurismo (มาเซราติ กรันทูริสโม)

Maserati เป็นสุดยอดยนตรกรรมจากประเทศอิตาลี ซึ่งมีความเหนือชั้นทั้งในเรื่องวิศวกรรม ศิลปะ อันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว มาเซราติจึงมองว่าตัวเองเป็นมากกว่ารถยนต์ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ นั่นคือการผสานรวมทั้งตัวรถยนต์ ผู้ขับขี่ สไตล์การขับขี่และการใช้ชีวิต เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่นำเสนอจึงกลั่นกรองมาจากแนวคิดที่ลึกซึ้ง

“Long distance means more time for pleasure.”

หนึ่งในแนวคิดนั้น มาเซราติบอกไว้ว่า “Long distance means more time for pleasure.” (ระยะทางที่ไกลหมายถึงการมีเวลาที่จะเอนจอยกับความสุขได้มากขึ้น)

ก็จริง… ที่ผ่านมาเราไม่เคยตีความคำว่า Long Distance หรือระยะทางไกล ในแง่บวกเลย ไม่ว่าจะในของระยะทางการขับขี่ ระยะทางในความสัมพันธ์ และการเดินทางของชีวิต แต่กลายเป็นว่าแบรนด์รถยนต์กลับทำให้เรามองอีกด้านหนึ่งของคำนี้

ปีนี้ มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์มาเซราติรุ่นใหม่ Maserati GranTurismo ใน 3 รุ่น โดยมี 2 รุ่นที่ใช้พลังงานเครื่องยนต์ ได้แก่ Maserati GranTurismo Modena ราคาเริ่มต้น 14.5 ล้านบาท และ Maserati GranTurismo Trofeo ราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท และอีกหนึ่งรุ่นขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% Maserati GranTurismo Folgore ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท

แรงบันดาลใจจากแลนด์มาร์กในกรุงโรม

เรื่องความสวยงามนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ด้วยเส้นสายภายนอกที่เรียบง่ายแต่สง่างาม ไปจนถึงการออกแบบภายในที่ได้แรงบันดาลใจโมทีฟการออกแบบมาจากลานจัตุรัสด้านหน้า Campidoglio สถานที่แลนด์มาร์กในกรุงโรม อิตาลี ผลงานของศิลปินเอก Michelangelo พิถีพิถันแม้กระทั่งการเดินด้ายเย็บเบาะหนังสุดพรีเมียม

การผสานกลิ่นอายประวัติศาสตร์อยู่ร่วมกับนวัตกรรมทันสมัย นอกจากสมรรถนะแบบรถสปอร์ตแล้ว Maserati GranTurismo ยังมีการนำวัสดุที่เบาที่สุดมาใช้ เช่น การใช้อะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม ร่วมกับโลหะเกรดสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุที่เบา และมีประสิทธิภาพชั้นเลิศ นอกจากนั้นยังมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ Atlantis High อันล้ำสมัย ภายใต้มาตรฐาน canFD ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วสุดถึง 0.002 วินาที มาพร้อมระบบ cyber-security ระดับ 5 และฟีเจอร์ flash-over-the-air และศูนย์กลางในการควบคุมระบบ Vehicle Domain Control Module (VDCM) ประกอบไปด้วยซอฟต์แวร์ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับ ในการควบคุมระบบที่สำคัญทั้งหมดของรถยนต์แบบ 360 องศา

เราสามารถควบคุมสั่งงานต่างๆ ผ่านหน้าจอทัชสกรีน ดูนาฬิกาที่เป็นรูปแบบดิจิทัล หรือจะเอนจอยกับเพลงโปรด เขาก็มาพร้อมระบบเสียง Maserati Sound Audio ด้วยเครื่องเสียง Sonus Faber ลำโพง 12 ตำแหน่ง และ 19 ตำแหน่งให้เลือก

The Others Just Travel

ที่สำคัญคือ รถยนต์ Maserati GranTurismo รุ่นที่เป็นนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ยังคงสมรรถนะที่ล้ำเลิศทรงพลังเอาไว้ได้ และรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย ก็ถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่มาเซราติพัฒนามาได้อย่างครบถ้วน เหมาะสำหรับคนยุคใหม่ ที่มาพร้อมไลฟ์สไตล์แบบใหม่ เหมือนที่เขาบอกไว้ว่า การเดินทางสำหรับ Maserati GranTurismo หมายความรวมทั้งการเดินทางในเชิงกายภาพและทางอารมณ์ เช่นเดียวกับแนวคิดหลักของรถรุ่นนี้ที่ว่า ‘The others just travel’ ซึ่งเป็นการอธิบาย ‘สิ่งที่มากกว่าการเดินทาง’ โดยไม่ต้องใช้คำใดมาจำกัดเลย

ดังนั้นไม่ว่าใครจะมองว่า รถยนต์มาเซราติแพงในแง่ไหน สมรรถนะเครื่องยนต์ ดีไซน์ หรืออะไรใดๆ เรากลับคิดว่าแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังรถยนต์คันนี้ต่างหากที่แพงและล้ำค่าที่สุด

Masertai GranTurismo Modena ราคาเริ่มต้น 14.5 ล้านบาท

Masertai GranTurismo Trofeo ราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท

Masertai GranTurismo Folgore ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท

ราคารวม warranty 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และสำหรับรุ่นพลังงานไฟฟ้า Battaery warranty นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ Masrati GranTurismo ได้ที่มาเซราติ ประเทศไทย http://Thailand.Maserati.com/ โชว์รูมสุขุมวิท 26 โทร. 02-663-2233 โชว์รูมสยามพารากอน โทร. 02-610-9441