เราค้นพบรีสอร์ทสวยที่อยู่บนเกาะลับซึ่งเดินทางไปได้ไม่ยากเลยจากกรุงเทพฯ
รีสอร์ทนี้ชื่อว่า The Sanchaya และเกาะที่ว่านี้ก็คือ เกาะบินตัน (Bintan Island) ประเทศอินโดนีเซีย แต่อย่าเพิ่งคิดถึงการนั่งเครื่องไปลงจาการ์ตาค่ะ เพราะเกาะนี้ที่จริงแล้วตั้งอยู่ใกล้สิงคโปร์นิดเดียวเอง เดินทางไปได้ง่ายกว่าจาการ์ตาเยอะ
วิธีเดินทางคือนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปลงสิงคโปร์ แล้วก็ต่อรถแท็กซี่จากสนามบิน Changi ไปประมาณ 10 นาที ถึงท่าเรือเฟอร์รี่ Tanah Merah เพื่อขึ้นเรือที่นั่นมุ่งตรงไปยังเกาะบินตัน ใช้เวลาล่องเรือเพียง 50 นาทีเท่านั้น
ทริปเดียวเหมือนเที่ยว 2 ประเทศเลยค่ะ นั่นก็คือสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ถ้าใครมีเวลาเหลือๆ อยากจะทิ้งตัวในสิงคโปร์สักคืนสองคืนก็ได้ ดังนั้นอย่าลืมเตรียมเงินทั้งดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) และรูเปียะห์ของอินโดนีเซีย (IDR) ไปด้วย ที่สำคัญอย่าลืมดูเวลาให้ดีๆ เพราะเวลาของสิงคโปร์นั้นเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ส่วนเวลาบนเกาะบินตันจะเท่ากับที่เมืองไทยเป๊ะๆ เลย
เรือเฟอร์รี่ที่นั่งจากสิงคโปร์ไปเกาะบินตันนั้น มีให้บริการทุกวัน และตลอดทั้งวัน แต่ถ้าเดินทางเสาร์-อาทิตย์ก็จะราคาแพงขึ้นนิดนึง โดยแบ่งออกเป็นชั้น Emerald และ Economy แน่นอนว่าชั้นประหยัดก็จะถูกกว่า ไปกลับประมาณ 1200 บาท ความแตกต่างก็คือถ้าชั้นประหยัดก็จะอยู่ชั้นล่าง มองไม่ค่อยเห็นวิว ที่นั่งมีเยอะกว่า อาจมีเสียงดังจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ บ้าง
ส่วนชั้น Emerald จะอยู่ชั้นสอง มองเห็นวิวทะเลชัดเจน เก้าอี้ใหญ่กว่าและเป็นเบาะหนังหรูหรา มีจำนวนที่นั่งน้อยกว่าจึงค่อนข้างเงียบสงบ และมีน้ำเปล่าเสิร์ฟให้ 1 ขวด ที่สำคัญจะได้รับสิทธิ์ให้ขึ้นและลงเรือก่อน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องแถว Immigration ยาวๆ เลย
นอกจากนี้ทั้งแบบ Emerald และ Economy ของเรือเฟอร์รี่ สามารถสั่งอาหารได้โดยจ่ายเพิ่มบนเรือ ราคาไม่แรงมาก มีเมนูให้เลือก 4-5 อย่าง
นั่งเรือยังไม่ทันหลับดี เราก็มาถึงเกาะบินตัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของแต่ละรีสอร์ทก็มักจะมารอรับที่ท่าเรือเลย เช่นเดียวกับ The Sanchaya ของเรา เจ้าหน้าที่มาช่วยเราถือกระเป๋าและพาไปยังเลานจ์ของรีสอร์ท เสิร์ฟ welcome drink พร้อมผ้าขนหนูเย็นๆ โอ้โห รีแล็กซ์ขึ้นมาทันที ยังไม่ทันจะถึงรีสอร์ทเลย
นั่งรอไม่นาน รถก็มารอรับเราไปยังรีสอร์ท สองข้างทางเราจะเห็นแต่ป่า ป่า แล้วก็ป่า เพราะว่าพื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะบินตันยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่ แม้ว่าเนื้อที่ทั้งหมดของเกาะจะใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 3 เท่า แต่พื้นที่ในส่วนที่เป็นรีสอร์ทหรือสถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีอยู่นิดเดียวเองค่ะ
นั่งรถมาแค่ 15 นาที ก็มาถึงรีสอร์ทแล้ว บรรยากาศที่ The Sanchaya เงียบสงบมาก เพราะมีจำนวนวิลล่าเพียง 29 หลัง เราเดินผ่านสคัลป์เจอร์สับปะรดลูกใหญ่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชาวสิงคโปร์ เพื่อไปยังล็อบบี้ ทำการเช็คอิน
The Sanchaya เปิดตั้งแต่ปี 2014 โดย Natalya Pavchinskaya ชาวรัสเซียที่หลงใหลศิลปะมาก ตัวเธอเองก็ทำงานเป็นทั้งศิลปิน นักออกแบบ โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเต็มไปด้วยศิลปะในทุกรายละเอียด ทั้งเชิญศิลปินมาสร้างสรรค์ผลงานในรีสอร์ท นำของสะสมส่วนตัวมาประดับประดา แล้วก็ยังจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะ ทั้งหนัง ดนตรี และเวิร์กช็อปต่างๆ อยู่บ่อยๆ จะบอกว่าเป็นรีสอร์ทที่มีความเป็นอาร์ตแกลเลอรี่ย่อมๆ เลยก็ได้
ที่นี่ร่วมงานกับบริษัทออกแบบของไทยอย่าง P49 Deesign ด้วย ทำให้เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไทยๆ แบบโบราณนิดนึง ตั้งแต่ลายบนพื้นกระเบื้อง ประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน แต่อันที่จริงวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันก็เชื่อมโยงกันและถ่ายเทอิทธิพลซึ่งกันและกัน ไทยกับอินโดนี่มีความใกล้กันหลายอย่างมาก
เราได้พักวิลล่าแบบสองชั้น เปิดประตูห้องก็จะเจอบันไดเลย เราขึ้นไปชั้นสอง พบกับห้องนั่งเล่นก่อน มีโซฟา มีตู้เย็น จากนั้นก็เปิดประตูต่อเข้าไปยังห้องแต่งตัว แบ่งออกเป็นสองฝั่ง him and her และด้านในสุดถึงจะเป็นส่วนของห้องนอน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งทีวี ไอแพด โทรศัพท์ แต่สิ่งที่เราชอบกลับเป็นระเบียงที่กว้างมากๆๆๆ ออกไปนั่งชิลรับลมทะเลได้แบบสบายใจเลย อ้อ! ลืมบอกไปว่าทุกห้องของที่นี่จะมองเห็นวิวทะเลได้หมด เพราะเขาอยากให้เราได้ใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ
นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว เขายังเน้นเรื่องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังเกตว่าอุปกรณ์หลายๆ อย่างจะทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น แปรงสีฟันด้ามไม้ ยาสีฟันสมุนไพร หวีทำจากไม้ และถุงขยะก็ใช้เป็นถุงกระดาษ ฯลฯ
ตื่นเช้ามา แนะนำให้ไปวิ่งริมชายหาด วิวสวยงามมาก จากนั้นไปทานอาหารเช้าที่เสิร์ฟแบบ a la carte มีให้เลือกหลายอย่าง ขนมปัง/ไส้กรอก/แฮม แบบอเมริกัน ข้าวต้มแบบอินโดแท้ๆ หรือจะเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งแบบไทยๆ ก็มีนะ
กิจกรรมในรีสอร์ท ใครชอบออกกำลังกายให้ไปฟิตเนสที่บางครั้งจะมีเทรนเนอร์กล้ามใหญ่มาช่วยดูแลให้คำแนะนำ หรือจะยืมจักรยานไปขี่เล่นในรีสอร์ท หรือออกไปถึงตลาดใกล้ๆ ได้ โดยเลาะเลียบไปทางชายหาด แต่สำหรับสายชิลอย่างเรา ได้ไปทดลอง holistic spa ซึ่งเป็นสปาแบบองค์รวม ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ เธอราพิสต์มือเบาตามที่เราขอไว้ และก็ทำเอาเราหลับไปเลยค่ะ ตื่นมาหายเมื่อย หายปวดหัว แบบไม่ต้องพึ่งยาใดๆ
สิ่งที่ห้ามพลาดอีกอย่างคือสระว่ายน้ำ เพราะเป็นสระสีฟ้าสวยน่าเล่นมากๆ อยู่ติดกับชายหาด ขณะว่ายน้ำก็มองไปเห็นคลื่นทะเล ซึ่งในช่วงกลางวันก็จะเป็นฟีลนึง แต่พอตกกลางคืน เขาเปิดไฟ ก็จะได้อีกฟีลที่โรแมนติกสุดๆ เลย ว่ายเสร็จแล้วจะจองร้านอาหารไทยริมสระต่อเลยก็ได้ แอบกระซิบว่าร้านนี้ทำรสชาติได้ไทยแท้เลยทีเดียว
เอาเป็นว่าที่นี่คือรีสอร์ทอีกแห่งที่เรา recommend สำหรับใครที่อยากหลีกหนีความวุ่นวายไปหาความสงบเพียงชั่วครู่ เพราะเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมง อยู่ใกล้เมืองไทยแค่นี้เอง หลายคนที่เคยมาเกาะบินตันแล้วถึงกับบอกว่าที่นี่เป็นเกาะสวรรค์แห่งอินโดนีเซีย แม้ว่าจะไม่ได้คึกคักเหมือนอย่างเกาะบาหลีหรือที่เที่ยวอื่นๆ ในอินโด แต่ก็เน้นสำหรับสายชิลที่ต้องการการพักผ่อนจริงๆ มากกว่า และถ้าช่วงกลางวันอยากหาอะไรสนุกๆ ทำ ก็เช่ารถออกไปเที่ยวในเมืองได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเนินทราย Gurun Pasir Busung ที่เห็นแล้วนึกว่าหลุดมาทะเลทรายแถวตะวันออกกลาง หรือจะเป็นบึงสีฟ้าอย่าง Danau Biru, Kawal ซึ่งเป็นบ่อที่เคยเป็นเหมืองแร่มาก่อน น้ำจึงกลายเป็นสีฟ้า ลงเล่นไม่ได้ แต่ถ่ายรูปสวยชิคเลยแหละ อินสตาแกรมต้องล้นค่ะงานนี้
จองห้องพักและดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ The Sanchaya ได้ที่ https://www.thesanchaya.com/
สั่งซื้อชุดเสื้อผ้าจาก Pomelo ได้ที่ > Pomelo Spring-Summer 2020