แม้จะอยู่ใกล้สนามบินภูเก็ตเพียงแค่ 5 นาที แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพอก้าวเข้ามาที่ The Slate Phuket รีสอร์ท 5 ดาวสุดหรู ติด ‘หาดในยาง’ แล้ว ก็รู้สึกเหมือนเข้ามาอีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความเงียบสงบ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จะได้ยินก็แต่เสียงนกร้อง ไม่ได้ยินเสียงเครื่องบินหรือเสียงรถรารบกวนใดๆ เลย ภายในพื้นที่กว่า 88 ไร่นี้
เดอะ ซเลท ภูเก็ต คือดีไซน์โฮเทลที่เป็นหนึ่งในผลงานออกแบบของดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง บิล เบนส์ลีย์ (Bill Bensley) ผู้ที่ออกแบบลักชัวรี่โฮเทลชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ทุกอณูของที่นี่จึงเต็มไปด้วยศิลปะ เรียกได้ว่าคนที่ชอบศิลปะและประวัติศาสตร์ เข้ามาพักที่นี่จะมีอะไรให้ว้าวได้ไม่รู้จบ ตั้งแต่ของใหญ่ๆ ไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ภายใต้การออกแบบในคอนเซ็ปต์ Industrial Chic ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเหมืองแร่ในสมัยก่อน อดีตที่เคยรุ่งเรืองของภูเก็ต
เจ้าของโรงแรมแห่งนี้คือตระกูล ณ ระนอง แรกเริ่มเลยสร้างเป็นที่พักชื่อ Pearl Village แล้วมาเปลี่ยนเป็น Indigo Pearl เมื่อปี 2550 ก่อนจะทำการรีแบรนด์เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาและใช้ชื่อใหม่ว่า The Slate Phuket
แค่เจอล็อบบี้ ก็ทำเราว้าวมากแล้วค่ะ ดูมืดๆ สลัวๆ เพราะเขาต้องการสะท้อนบรรยากาศเหมือนเรากำลังเดินเข้าเหมืองแร่ในสมัยก่อนของภูเก็ต โดยเสาของโครงหลังคาตกแต่งด้วยโลหะสีเข้มแบบฉลุ ครอบคลุมเสาทั้งต้น ประกอบด้วยคริสตัลสีน้ำเงิน และรอบๆ ข้างก็มีสคัลป์เจอร์และของเก่าวางตกแต่งอยู่ด้วย รวมถึงเครื่องปั่นไฟโบราณขนาดใหญ่ ซึ่งถูกเอามาดัดแปลงใส่จอทีวีเล็กๆ แสดงข้อมูลต่างๆ ของโรงแรม
ความเก๋คือ เวลคัม ดริงค์ ซึ่งเป็นน้ำสมุนไพร และผ้าเย็นซึ่งมีกลิ่นหอมของดอกจำปี เป็นกลิ่นซิกเนเจอร์ของโรงแรม พอเสร็จขั้นตอนการเช็คอิน พนักก็จะให้คีย์การ์ดเรามา 2 ใบ พร้อมพาเรานั่งรถกอล์ฟไปห้องพัก ตรงซองใส่คีย์การ์ดนั้นเขียนว่า Welcome to the Surreal World เพื่อเป็นการบอกเราว่าประสบการณ์เข้าพักในครั้งนี้กำลังจะได้พบอะไรที่ล้ำๆ เหนือจินตนาการ ที่เขานิยามไว้ว่า ‘An Avant-Garde Expression’
ห้องพักแบบสวีทและพูลวิลล่า
ห้องพักกว่า 177 ห้องของ The Slate Phuket จะแบ่งเป็นห้องสวีท บวกกับพูลวิลล่าอีก 7 หลัง เราได้มาพักที่ห้อง Pearl Bed Suite ซึ่งแม้จะเป็น type เริ่มต้นแต่มีขนาดห้องใหญ่ถึง 65 ตารางเมตร และระเบียงก็กว้างขวางมาก ตกแต่งด้วยไม้ โลหะ เพื่ออิงคอนเซ็ปต์เหมืองแร่ อย่างด้านหลังของเตียงจะเป็นผนังไม้ และแม้แต่ก๊อกน้ำหรือขวดใส่พวกเจลอาบน้ำต่างๆ ก็ยังเป็นสไตล์เหล็กๆ โลหะๆ เช่นกัน และแน่นอนว่ากลิ่นของเจลอาบน้ำก็เป็นกลิ่นซิกเนเจอร์อย่างดอกจำปีด้วย
ตรงระเบียงจะเชื่อมทั้งกับประตูห้องนอน และประตูห้องน้ำ นอกจากโต๊ะเก้าอี้และเบาะที่นั่งสบายๆ แล้ว เขายังมี oversized bathtub แบบเอาท์ดอร์ สามารถมานอนชิลตรงนี้แล้วก็ดูนกแปลกๆ บินไปบินมาตามต้นไม้ต่างๆ วิวที่เห็นตรงหน้าคือสวนสีเขียวร่มรื่นและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่บาหลีเลย ต้องยอมรับว่าแลนด์สเคปของเขาสวยจริงๆ ต้นไม้กว่า 40% ก็เป็นการนำเข้ามาปลูกร่วมกับของเดิมได้อย่างกลมกลืน อ้อ! สิ่งที่น่ารักอีกอย่างก็คือ ที่ใส่ยากันยุง ซึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะ เขาก็ทำเป็นรูปตัวยุงด้วยล่ะ
ล่องแพไปดินเนอร์หรูที่เรือนไทย Black Ginger
เย็นวันแรก เราไปดินเนอร์กันที่ห้องอาหาร Black Ginger ซึ่งเป็นบ้านเรือนไทย 3 หลัง ที่ยกของเก่าจากอยุธยามาจริงๆ และการจะเดินทางเข้าไปห้องอาหารได้นั้น เราก็จะต้องผ่านทางเดินที่มีกำแพงอิฐ ประดับด้วยโล่นักรบแบบสมัยโบราณ ก่อนจะมาถึงแม่น้ำเล็กๆ และล่องแพข้ามไป โดยพนักงานซึ่งสวมใส่ชุดตะเบ็งมานแบบนักรบหญิงสมัยก่อนจะคอยชักรอกเชือกพาเราไป
ที่นี่โด่งดังเรื่องอาหารไทยซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินที่ใครมาภูเก็ตควรมาลิ้มลองสักครั้ง เราไปวันที่เชฟเปี๊ยกอยู่พอดี ผู้ที่ดูแลเรื่องเมนูและรสชาติอาหารไทยแท้ๆ ของที่นี่มายาวนานกว่า 30 ปี โดยอาหารจะเสิร์ฟเป็นคอร์ส เริ่มตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อย อาหาร 3 ชนิด มาในช้อนแบบพอดีคำ เป็นยำส้มโอและถุงทอง ต่อด้วยเบือทอด อาหารพื้นเมืองของภูเก็ตที่เป็นใบชะพลูทอดกรอบ ใส่กุ้งชุบแป้งทอด และยังมีกระทงทอง เปาเปี๊ยะ ก่อนจะเข้าเมนคอร์สอย่างหมี่หุ้นแกงปู ตามสไตล์คนใต้ เนื้อปูเป็นชิ้นๆ รสชาติน้ำกะทิเข้มข้นมาก และกุ้งซอสมะขาม ทานกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วก็ปิดท้ายด้วยของหวาน
บรรยากาศตอนกลางคืนของร้านนี้ดูลึกลับและเหมือนเราหลุดมาในอดีตจริงๆ ใครเป็นแฟนละครของออเจ้า ก็จะต้องอินกับที่นี่มากเช่นกัน เขาแบ่งพื้นที่เป็นโซนอินดอร์ห้องกระจกติดแอร์ แขวนแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ สร้างความโมเดิร์นได้ลงตัวกับความเป็นเรือนไทยมากๆ แม้กระทั่งชุดจานชามต่างๆ ยังคุมโทนเป็นสีเงิน เทา ดำ เชื่อมโยงกับคอนเซ็ปต์ดีบุก ขณะที่ด้านนอกตรงชานบ้านจะเป็นพื้นที่ของบาร์ จุดคบเพลิงส่องสว่างแทนการใช้แสงไฟปกติ
จุดสวยอีกที่ก็คือทางเดินไปห้องน้ำ จะใช้แนวกำแพงเป็นอิฐมอญ ส่องไฟสว่างที่พื้น ได้กลิ่นอายเมืองเก่า ปลายทางมีกระจกบานใหญ่มองเห็นตัวเอง ทำให้ใครไปใครมาก็ต้องหยิบมือถือมาเซลฟี่ ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปเจอกับการตกแต่งที่หรูหราด้วยกระจกสีประดับเสา สะท้อนแสงไฟในกระจก สวยจนลืมไปเลยว่าเรากำลังเดินมาเข้าห้องน้ำ ที่สำคัญคือห้องน้ำนี้สร้างขึ้นมาในราคา 5 ล้านบาท โอ้โห เป็นเกียรติในการมาทำธุระมากๆ
ร้านอาหาร Black Ginger
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 19.00 – 23.00 น.
เช้าวันรุ่งขึ้น เราทานอาหารเช้ากันที่ ร้านอาหาร Tin Mine แปลว่า เหมืองดีบุก ในร้านก็จะมีประติมากรรมโมเดิร์นเก๋ๆ วางอยู่บริเวณโต๊ะทานข้าว เขาให้บริการอาหารแบบบุฟเฟต์ทั้งไทย ฝรั่ง จีน ต้องบอกว่าขนมปังมีให้เลือกหลายแบบ ครัวซองต์อร่อยมาก แล้วก็ยังมีแพนเค้ก เครป ปาท่องโก๋ ไปจนถึงข้าวต้ม ข้าวผัด ขนมจีบ ซาลาเปา
Coqoon Spa สปารังนกขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นจากหวายทำมือ
ช่วงสายเราไปคั่นเวลาด้วยการทำสปาที่ Coqoon Spa ที่เราเรียกกันเองว่าสปารังนก เนื่องจากรูปทรงเหมือนเป็นรังนกน่ารักแทรกตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณ บิลล์ เบนส์ลีย์เขาตั้งใจออกแบบให้เป็นรังไหม พอเราเข้าไปนวดปุ๊บก็จะกลายเป็นผีเสื้อที่พร้อมโบยบินออกจากรังไหม โครงสร้างภายนอกทำจากหวายเทียมและทำด้วยมือ! อ่านไม่ผิดค่ะ ทำด้วยมือจริงๆ และใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จ ส่วนด้านในก็จะเน้นการใช้หวายเป็นเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งเช่นกัน ที่จริงเขามีห้องทรีตเมนต์หลายห้อง แต่สำหรับห้อง The Nest ภายในรังนกนี้จะมีเพียงห้องเดียว และราคาจะบวกเพิ่มจากห้องปกติ 15% แต่บรรยากาศเขาก็กินขาดจริงๆ ค่ะ ต้องยอม
นี่คือการทำสปาที่ประทับใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ โดยเราเลือกตัวซิกเนเจอร์อย่าง Coqoon Rebirth Massage และก็เลือกน้ำมันกลิ่นดอกจำปีเพื่อความผ่อนคลาย แต่ล่าสุดปี 2566 หลังจากที่กัญชาได้รับการปลดล็อกให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย จนทำให้ Cannabis Tourism นั้นบูมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กัญชาเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยว ทาง The Slate จึงมีการนำพืชชนิดนี้เข้ามาผสมผสานกับการออกแบบเมนูสปาทรีตเมนต์ เพราะมีส่วนช่วยในเรื่องของการเพิ่มความผ่อนคลายทั้งร่างกายและความรู้สึกภายใน ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่างถ้าใช้อย่างถูกวิธีและอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
ห้องอาหารกึ่งบาร์สุดคูล กับของตกแต่งจากในเหมืองแร่
ช่วงบ่าย เราไปทานอาหารกลางวันกันที่ Tongkha Tin Syndicate และที่นี่ก็ทำให้เราว้าวอีกตามเคย เพราะเขาเป็นห้องอาหารกึ่งบาร์สไตล์ดิบๆ เท่ๆ ด้านในเปิดโล่งและตั้งโต๊ะพูลให้แขกมาเล่นได้ ด้านบนมีพัดอินเดียขยับไปมาด้วยมอเตอร์ ซึ่งเป็นพัดที่สมัยก่อนเขาใช้ระบายอากาศจริงๆ ในเหมือง ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มทุกวัน ตั้งแต่ 11.00-24.00น.
มุมถ่ายรูปต่างๆ ในโรงแรม
เริ่มกันที่ Shades Gallery แกลเลอรี่แสดงภาพวาดและงานศิลปะต่างๆ ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนศิลปินมาโชว์ผลงานอยู่เรื่อยๆ ใกล้ๆ กันนั้นเป็นห้องเก็บไวน์ที่รวมไวน์เอาไว้เยอะมาก ต่อด้วย Stockroom ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งก็จะรวมของต่างๆ ที่ใช้ตกแต่งจริงภายในโรงแรมมาให้เราได้ซื้อกลับบ้าน เพราะเขาออกแบบเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ ไม่ซ้ำใคร ตั้งแต่ช้อนส้อม เข็มขัด ไปจนถึงภาพวาดราคาเป็นแสน แถมมีบริการส่งทั่วโลกให้ด้วย
สระว่ายน้ำ 3 สระ บรรยากาศบาหลี
นอกจากนี้ ยามเย็นยังเป็นเวลาที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ และที่ The Slate ก็มีสระว่ายน้ำตั้ง 3 สระ ได้แก่ Lagoon Pool, Pulley Pool & Bar และ Snakeskin Pool ซึ่งสงบเงียบ ไพรเวท และดูวิวพระอาทิตย์ตกได้สวยงามที่สุด แต่ถ้ายังไม่จุใจก็เดินออกไปที่หาดในยาง หาดอันเงียบสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การเล่นน้ำ หรือกิจกรรมสนุกๆ อย่างแพดเดิลบอร์ด น้ำใส คลื่นไม่แรง แถมยังเห็นเครื่องบินบินต่ำมาเป็นระยะ เตรียมแลนดิ้งลงสนามบินภูเก็ตใกล้ๆ นี้ เป็นวิวที่ปังสุดๆ ไปเลย
บอกเลยว่าที่นี่คือ Design Hotel ระดับโลกที่ให้ประสบการณ์เข้าพักแบบอิ่มเอมทั้งในเรื่องของศิลปะ การผสมผสานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ความสงบเงียบท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น การบริการที่เลอเลิศ ที่สำคัญ ความสะดวกสบายของโลเกชั่น ที่ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย อยู่ใกล้สนามบินภูเก็ตแค่ 5 นาที แล้วก็อยู่ติดหาดในยางแบบเดินไปได้นิดเดียว ไม่แปลกใจที่คนดังระดับโลกมากมายเคยมาเข้าพักที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่คนไทยจะไปลองประสบการณ์อันล้ำค่าที่รีสอร์ทในฝันแห่งนี้ดูบ้างแล้ว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองห้องพัก The Slate Phuket
โทร. 076-327-006 / อีเมล reservations@theslatephuket.com
https://www.theslatephuket.com
หรือติดตามโปรโมชั่นสำหรับคนไทยได้ที่ www.facebook.com/TheSlatePhuket
[…] […]