ในคอนเซ็ปต์ ‘เที่ยวไทยเหมือนไปฝรั่งเศส’ ของลาวีอองโร้ดครั้งนี้ เราเลือกมาพักผ่อนที่ SO Sofitel Hua Hin เพราะนอกจากจะอยู่ไม่ไกลจากชะอำ ขับรถมาได้ง่ายจากกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังเป็นรีสอร์ทลักชัวรี่ที่มีดีไซน์กลิ่นอายความเป็นฝรั่งเศส ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา (Grande Galerie de L’Evolution) กรุงปารีส เราจึงเห็นรูปปั้นสิงสาราสัตว์มากมายราวกับอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และที่สำคัญคือ ห้องพักก็ยังมีให้เลือกเป็นแบบตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศส เหมือนอยู่ในอาร์ตมิวเซียมอีกด้วย
การเดินทางในยุคโควิด-19 ดูเหมือนว่ารถยนต์จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ Social Distance ได้ดีที่สุด และเพื่อให้ตอบโจทย์ธีม ‘เที่ยวไทยเหมือนไปฝรั่งเศส’ เราก็เลยขับรถ เปอโยต์ SUV 3008 Allure ซึ่งเป็นแบรนด์รถฝรั่งเศสที่นำกลับเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยอีกครั้ง โดยเป็นรถอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง ที่เหมาะกับการขับไปเที่ยวต่างจังหวัดมากๆ เพราะขับทางไกลสนุก ด้วยความที่ช่วงล่างแน่น เข้าโค้งหรือทำความเร็วก็เกาะถนนได้ดีตามมาตรฐานรถยุโรป เบาะหนังนั่งสบาย แถมด้านหลังก็ยังเก็บพวกกระเป๋าเดินทางและสัมภาระได้เยอะ เวลาจะเปิดประตูท้าย แค่ใช้เท้าเตะใต้รถ ประตูก็จะเปิด-ปิดให้เอง ที่สำคัญ ประหยัดน้ำมันเป็นที่สุด เราพิสูจน์มาแล้วว่าขับจากกรุงเทพฯ ไปถึงชะอำ ในระยะทางประมาณ 100 กม.นิดๆ มาตรวัดน้ำมันขยับลดไปนิดเดียวเอง
เราขับรถเปิดซันรูฟรับลมทะเลชิลๆ ตรงถนนเลียบชายหาดชะอำ แล้วไปจอดถ่ายรูปเล่นอยู่แป๊บนึงก่อนเข้ามาที่ โซ โซฟิเทล หัวหิน ทางเข้าโอ่อ่ามากๆ ด้วยบันไดหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว ออกแบบโดยคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค เมื่อเดินขึ้นไปก็จะพบกับล็อบบี้ที่โปร่งโล่ง ลมพัดเย็นสบายที่สุด พนักงานก็จะเช็คอุณหภูมิร่างกายของเราตามมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด แถมมีเจลแอลกฮอลให้กดใช้ได้ตามสบายตามจุดต่างๆ ของโรงแรมด้วย
ห้องพัก SO Arty ความงามของศิลปะสไตล์ฝรั่งเศส
โซ โซฟิเทล หัวหิน นั้นรีแบรนด์และรีโนเวทมาจาก Alila – Hotel de la Paix ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังระดับเอเชียอย่างคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค ก่อนจะได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมโดยดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสอย่าง มร. โดนาเทียน คาร์ราทิเยร์ (Mr. Donatien Carratier) ห้องพักทั้งหมดมี 109 ห้อง แบ่งออกเป็นหลากหลายประเภท ตั้งแต่ SO Comfy 53 ห้อง, SO Studio 14 ห้อง, SO Family 6 ห้อง, SO Family Kids House 5 ห้อง, SO Comfy Pool Access 8 ห้อง, SO Lofty Pool Access 10 ห้อง ไปจนถึงห้อง Family Suite อีก 4 ห้อง และ Pool Villa รวม 9 หลัง
ในห้อง type เริ่มต้นอย่าง SO Comfy ก็จะแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 ประเภท ได้แก่ SO Nature ที่แต่งห้องด้วยแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ วัสดุสีสันต่างๆ ก็จะมีความละมุน เพื่อให้แขกรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางความงามของธรรมชาติจริงๆ และห้อง SO Arty ที่แต่งด้วยฟีลลิ่งแบบฝรั่งเศส มีความเป็นศิลปะอย่างการใช้ปูนเปลือยดิบๆ และภาพวาดขนาดใหญ่ เข้ากันได้ดีกับแชนเดอเลียร์สุดอลังการ
แน่นอนว่าเราเลือกมาพักห้อง SO Arty ซึ่งเป็น pool access ด้วย เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำได้จากระเบียงห้องนอนเลย ความน่ารักก็คือ ทางโรงแรมได้จัดการวาดรูปของ La Vie en Road ไว้ที่หน้าประตูห้องเลยค่ะ เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นมากๆ และถึงแม้จะเป็น type เริ่มต้นนะคะ แต่ก็กว้างขวางมากถึง 60 ตร.เมตร มีครบทุกสิ่งอำนวยความสะดวก
เปิดประตูห้องเข้ามา ด้านขวาจะเจอห้องน้ำก่อน ที่นี่เขาให้ความสำคัญมากๆ เลย เพราะมีพื้นที่เรนชาวเวอร์ที่ใหญ่สุดๆ แล้วก็มีอ่างอาบน้ำ ซึ่งเราสามารถให้พนักงานมาเตรียม foam bath ให้ได้ด้วย ในขณะที่อ่างล้างหน้าก็จะแบ่งฝั่ง his and hers แขวน Bathrobe ลายหวานๆ ไว้ใกล้ๆ พร้อมด้วย Beach bag, สลิปเปอร์ ไดร์เป่าผม และเสื่อโยคะ เตรียมไว้ให้ด้วยในตู้เสื้อผ้า และถัดมาก็จะเป็นตู้มินิบาร์ ชา กาแฟ ขนมต่างๆ สามารถทานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แถมเขามาเติมให้ทุกวันตลอดการเข้าพัก
ส่วนความเจ๋งของห้องนอนคือเขามีเตียงนอนแบรนด์ระดับโลก MyBed™ ที่นุ่มสบายมากๆ มีสวิตช์ไฟข้างหัวเตียงที่สามารถควบคุมไฟทั้งห้องได้ แล้วก็มีพื้นที่นั่งเล่น รวมถึงโต๊ะทำงาน แต่เมื่อเปิดระเบียงออกไป เราก็จะสามารถจุ่มขาลงสระซิกเนเจอร์พูลได้เลย ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำหลักของรีสอร์ทที่มีเครื่องเล่นเป่าลมลอยน้ำ Wibit จากประเทศเยอรมนี ให้เราได้แอดเวนเจอร์กันด้วย เหมือนในรายการทีวีของญี่ปุ่นสมัยก่อนที่ให้วิ่งเล่นตามฐาน เหมาะมากกับการมาพักเป็นครอบครัวหรือกับเพื่อนฝูง และถึงแม้สระจะลึกถึง 2 เมตร แต่เขาก็มีบริการเสื้อชูชีพและมีไลฟ์การ์ดคอยดูแลตลอด โดยจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 8.00-21.00น.
สระว่ายน้ำจัดเต็มถึง 3 สระ 3 สไตล์
นอกจาก Signature Pool ที่เน้นความสนุกสนานแล้ว ก็ยังมีสระผู้ใหญ่ Solarium Pool ที่เน้นความเงียบสงบ อยู่ติดกับ SO Spa ไม่อนุญาตให้เด็กลงเล่น เหมาะเอาหนังสือมานอนอ่านชิลๆ ท่ามกลางกำแพงหินโอบล้อมที่ทำให้เรามีความเป็นส่วนตัวมากๆ ขณะที่สระที่ 3 คือ SO Pool ก็จะอยู่ตรงใกล้ๆ ชายหาดเลย เป็นสระลึก 1.2 เมตร เด็กก็ลงเล่นได้ และเขามีเตียงอาบแดดให้เรานอนชมวิวทะเลด้วย
มุมชายหาดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมุมโปรดของเรา ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็นเลยค่ะ เพราะลมพัดเย็นสบาย มีเก้าอี้ ชิงช้า หรือบีนแบ็คให้นอนพักผ่อน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นและลมทะเลเบาๆ
ห้องอาหารและบีชคลับสุดเก๋
บริเวณใกล้ชายหาดจะมีห้องอาหาร Beach Society ที่เป็นทั้งห้องอาหารและบีชคลับ เปิดให้บริการทั้งแขกในโรงแรมและจากด้านนอก มีอาหารหลากหลายตั้งแต่ซีฟู้ด อาหารอิตาเลียน และเครื่องดื่มค็อกเทลมากมาย เปิดตั้งแต่ 11.00-23.00น.
ช่วงเช้า เราสามารถไปใช้บริการ international buffet และ a la carte ได้ที่ห้องอาหาร White Oven ค่ะ และที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะว่าเป็นห้องอาหารที่ออกแบบโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เตาอบสีขาว ตั้งอยู่ใจกลางห้องอาหาร มีอาหารไทยให้เลือก แล้วก็เน้นเมนูที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบท้องถิ่น อันที่จริงพนักงานสามารถให้เราสั่งอาหารเพิ่มเติมได้ เพราะเขาบอกว่าเราเข้าพักวันธรรมดา บุฟเฟต์ก็เลยจัดมาเป็นไลน์เล็ก แต่นี่ขนาดไลน์เล็ก ก็ทำเราอิ่มแบบสุดๆ แล้วค่ะ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าวันที่จำนวนแขกเยอะๆ บุฟเฟต์เขาจะอลังการขนาดไหน
กิจกรรมตอบโจทย์ทั้งครอบครัว เล่นได้ทั้งวัน
ความดีงามคือกิจกรรมที่นี่หลากหลายจริงๆ อย่างเช่น ฟิตเนสที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง มินิกอล์ฟ 18 หลุม คอร์ทเทนนิสและบาสเก็ตบอล ลู่จักรยานรอบรีสอร์ทความยาว 627 เมตร สนามเด็กเล่นที่ผู้ใหญ่ก็แอบไปจอยได้ ไปจนถึง Kids Tent แนวสวนสัตว์ที่ทั้งเด็กเล็กเด็กโตต้องเพลิดเพลิน เพราะของเล่นเยอะมากกกก
ต้องบอกว่าคอนเซ็ปต์ ‘ท่องโลกในจินตนาการ’ ของโซ โซฟิเทล หัวหิน เขาทำมาได้ครบถ้วนจริงๆ นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่รีสอร์ทที่เราพบกว่ามีกิจกรรมหลากหลายมากที่สุด และไม่ว่าเราจะมาเที่ยวแบบไหน เป็นครอบครัว กับเพื่อนฝูง หรือกับคนพิเศษ ก็จะมีมุมของรีสอร์ทที่ตอบโจทย์ได้ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือเดินทางมาจากกรุงเทพฯ สะดวกมากๆ ขับรถยังไม่ทันเหนื่อย ก็ถึงแล้ว
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองที่พักได้ที่ www.so-sofitel-huahin.com