วีคเอนด์ที่แล้ว เราขับรถไปหัวหินค่ะ เป็นช่วงที่รู้สึกว่าเหนื่อยจากการทำงานหลายสิ่งหลายอย่างมาก ทะเลหัวหินจึงเป็นตัวเลือกที่เราคิดว่าง่ายและเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับการพักผ่อนที่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเยอะ ไม่ต้องจองตั๋วเครื่องบิน ไม่ต้องทำวีซ่า แค่ขับรถไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ จากกรุงเทพฯ ก็ได้เจอทะเลแล้ว
ทะเลหัวหินวันนี้น้ำใสกว่าเดิมมาก อาจเป็นเพราะรีสอร์ทหัวหินร่วมมือร่วมใจกันมีมาตรการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เช่น ไม่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล และจัดการเรื่องขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในรีสอร์ทที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังก็คือ Let’s Sea Al Fresco Hua Hin ที่ได้มีการรีโนเวทครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า Barefoot Luxury
สถาปัตยกรรมและดีไซน์เป็นแบบโมเดิร์น แต่ก็มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงถึงความเป็นท้องถิ่นอยู่บ้าง เช่น ประตูหน้าต่างแบบไทยๆ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกัน ส่วนคอนเซ็ปต์ Barefoot Luxury นั้นก็หมายถึงความหรูหราแต่ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่พยายาม ไม่แฟนตาซี และไม่เซอร์เรียล แต่คือ “คุณภาพ” ของการให้บริการที่เต็มที่และครบถ้วนเท่าที่คนคนหนึ่งจะต้องการเวลาที่มาพักผ่อน
ที่เห็นในรูป ฝั่งขวาคือ Let’s Sea และฝั่งซ้ายคือ Loligo Resort โดยมีถนนเล็กๆ คั่นกลาง ทั้งสองรีสอร์ทเป็นเจ้าของเดียวกัน แต่ Let’s Sea จะเน้นสไตล์ลักชัวรี่ เงียบสงบ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การบริการที่เป็นเลิศ ในขณะที่ Loligo จะมีราคาห้องพักที่เข้าถึงได้มากกว่า เน้นความเรียบง่าย มีร้านสะดวกซื้อที่ด้านล่าง มีเปียโนที่ล็อบบี้ แล้วก็ได้วิวทะเลที่สวยไปอีกแบบนึง
วันแรกที่มาถึง เราทิ้งตัวลงเตียงเลยค่ะ เตียงนุ่มสบายดูดวิญญาณแบบไม่อยากลุกไปไหนเลย ส่วนหมอนจะมี 2 ใบสำหรับ 1 คน ให้เลือกแบบสองระดับความนุ่มแล้วแต่คนชอบ ประตูระเบียงทำจากกระจก เปิดให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาดูโปร่งโล่ง แล้วก็ประหยัดไฟฟ้าในตอนกลางวันได้ ตอบโจทย์ความเป็น eco chic
ห้องน้ำมีประตู 2 ฝั่ง เช่นเดียวกับซิงค์ล้างหน้า ก็มี 2 อัน สำหรับผู้หญิงผู้ชาย สาวๆ คนไหนพกอุปกรณ์ล้างหน้ามาเยอะ ก็วางให้เต็มที่ไปเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวโดนบ่น ส่วนตู้ด้านหน้าคือมินิบาร์ ปกติโรงแรมทั่วไปมักจะเก็บตังค์เพิ่มแล้วก็ราคาโหดซะด้วย แต่ที่นี่ ขนมนมเนยต่างๆ แม้กระทั่งเบียร์ ก็ให้ทานฟรีหมด ยกเว้นไวน์กับแชมเปญเท่านั้นที่ต้องจ่ายเพิ่ม
ตึกของ Let’s Sea สูงแค่ 2 ชั้น และแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตรงกลางคือสระว่ายน้ำที่เชื่อมต่อกับทุกห้องที่อยู่ชั้นล่าง เช้ามาสามารถเปิดประตูระเบียงแล้วก็กระโจนลงสระได้เลย ส่วนห้องพักชั้นบนจะมีเนื้อที่กว้างกว่า มองเห็นวิวทะเลได้ในมุมกว้าง แถมยังมีชั้นรูฟท็อปที่สามารถขึ้นไปนอนแช่อ่างจากุซซี่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะชอบสไตล์ไหน
ช่วงบ่ายเราไปนั่งเล่นริมหาด ครั้งนี้พกของเล่นใหม่มาด้วย นั่นก็คือ Beats Studio3 Wireless หูฟังรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ที่เชื่อมต่อแบบบลูทูธ เหมาะกับสายท่องเที่ยวมากๆ เพราะไม่มีสายให้เกะกะ แบตก็อยู่ได้นานมากถึง 22 ชั่วโมง เดินริมทะเลไป ฟังเพลงโปรดไป มันชิลสุดๆ เลยค่ะ
แพ็กเกจเขาเริ่ดตรงที่ทำมาเป็นกล่องสีดำทรงกลม ข้างในบรรจุเฮดโฟนที่สามารถพับให้เล็กลงได้ เวลาจะใช้ก็กางออก ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะกินเนื้อที่ในกระเป๋าเดินทาง และตรงนี้ก็คือมุมชิงช้าที่น่ารักมากๆ ของรีสอร์ท ลมพัดเย็น หมอนก็เยอะ นั่งไปเรื่อยๆ เกือบหลับแล้วค่ะ
เดินชิลจนพอใจแล้ว เราเอาโน๊ตบุ๊กออกมานั่งทำงานริมทะเล หลายคนไม่รู้ว่านอกจากเป็นนักเขียนแล้ว เรายังทำงานดนตรีด้วย ซึ่งทำให้บางครั้งการเอางานไปทำระหว่างเดินทางมันไม่สะดวกเท่าไร เนื่องจากต้องฟังเสียงดนตรีที่มันละเอียดมากๆ ในการแกะเพลง และอะเรนจ์เพลงใหม่ๆ อยู่ตลอด
แต่ด้วยหูฟัง Beats Studio3 Wireless เราพบว่าแม้จะมีเสียงลมทะเลตึงๆ แต่ก็ยังสามารถฟังเสียงเครื่องสายที่ทับกันอยู่หลายๆ ชั้นได้ชัดเจน คมชัดแบบแทบไม่ต่างกับการนั่งฟังในห้องเงียบๆ ที่บ้าน แถมเฮดโฟนครอบหัวนุ่มกว่าที่คิด นั่งทำงานเป็นชั่วโมง ไม่ปวดหัว ไม่เจ็บหูใดๆ amazing มาก
ร้านอาหารริมทะเลของ Let’s Sea เปิดทั้งวันค่ะ เราสามารถสั่งของว่างมานั่งทานเล่นได้ แนะนำให้ลองสั่งน้ำสมุนไพรอย่างใบเตยหรือตะไคร้ เขาจะเสิร์ฟมาในขันแบบโบราณ เย็นชื่นใจสุดๆ อ้อ! และทุกครั้งที่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่ม พนักงานก็จะถามเสมอว่าจะรับหลอดไหม มันทำให้เราตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมได้อัตโนมัติ และแขกหลายๆ คนพอได้ยินแบบนี้ ก็เลยจะไม่รับหลอด ช่วยลดการใช้พลาสติกลงไปได้มาก
ใกล้ค่ำ พนักงานเอาไวน์มาให้เราลองชิม ก่อนจะย้ายไปดินเนอร์ที่โต๊ะด้านใน อาหารทะเลที่นี่เขาสดจริงๆ ลองนึกถึงกรรเชียงปูเนื้อแน่น หอยลายผัดโหระพา กับกุ้งผัดซอสมะขาม จะบอกว่ามื้อนั้นอร่อยและอิ่มมาก แทบจะแบกพุงเดินกลับห้องไม่ไหว
ส่วนมื้อเช้าก็ต้องนี่เลย โจ๊กกุ้งใส่ไข่ เรียบง่ายแต่รู้สึกคอมพลีทค่ะ อาหารเช้าที่นี่เขาเป็นแบบ à la carte ถ้าใครชอบแบบไทยๆ ก็แนะนำข้าวหมูทอดใส่ไข่ยางมะตูม ส่วนแบบฝรั่งก็มีอเมริกันเบรกฟาสต์ แล้วก็นี่เลยค่ะ! Brussel Waffle และ French Toast คือดียยยยย์….
กิจกรรมภายในรีสอร์ท นอกจากสระว่ายน้ำแล้วก็มีฟิตเนส กับคลาสที่น่าสนใจต่างๆ อย่างเช่น Streching class, มวยไทย รวมไปถึงสปาที่มาในคอนเซ็ปต์ Al Fresco ของแท้ เพราะลักษณะเป็นห้องกระจกที่ห่อหุ้มด้วยเต็นท์กระโจม ด้านนอกคือต้นไม้ใหญ่สีเขียว อย่างกับทำสปาอยู่ในป่า ใกล้ชิดธรรมชาติและผ่อนคลายมากๆ
สปาที่เราเลือกทำคือแบบ 140 นาที ไม่เคยทำสปานานขนาดนี้มาก่อน โดยจะเริ่มจากการอาบน้ำ เข้าห้องอบไอน้ำ ออกมาล้างเท้า ไปสครับผิว ก่อนจะมานวดอโรมา เรียกได้ว่าอยากจะหลับยาวๆ ไปเลย มันสบายสุดๆ
หลังทำสปาเสร็จ จะมีผ้าขนหนูเย็นกับน้ำขิงผสมมะนาวมาเสิร์ฟ เป็นอันว่าทริปนี้ทำให้เราลืมความเครียดจากเมืองหลวงไปอย่างปลิดทิ้ง เราคิดว่า Let’s Sea คือที่ที่น่าหลบไปพักใจที่ง่ายและ effective ที่สุด ด้วยการขับรถจากกรุงเทพฯเพียงแค่ 2 ชั่วโมง แล้วมาเจอความผ่อนคลายในเลเวลนี้ สงสัยวีคเอนด์หน้าต้องมาอีกเรื่อยๆ
Let’s Sea Al Fresco Resort, Hua Hin, Thailand
For more information: www.letussea.com
Booking: info.huahin@letussea.com / Tel: (+66) 032 536 888