เกาะสมุยไม่ได้มีเสน่ห์แค่น้ำทะเลที่สวย แต่ด้วยลักษณะทางฮวงจุ้ยทางธรรมชาติและลักษณะของหินใต้ทะเลบริเวณนี้ยังทำให้เกิดมวลพลังงานที่ดีสะสมมาเป็นเวลานาน ในสมัยก่อนมักมีพระสงฆ์เดินทางมาวิปัสสนาอยู่ตามถ้ำและป่าเขา ขณะที่ปัจจุบันเราจะเห็น wellness resort เกิดขึ้นบนเกาะสมุยมากมาย ซึ่งหลายคนนิยมมาพักผ่อน บำบัดฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ
Kamalaya Koh Samui หรือคามาลายา เกาะสมุย เรียกตัวเองว่าเป็น Wellness Sanctuary and Holistic Spa Resort หรือศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมและสปาที่ผสมศาสตร์ทางการแพทย์ทั้งตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ออกแบบมาเป็นโปรแกรมทรีตเมนต์หลากหลาย รวมถึงการดูแลในเรื่องอาหารการกินต่างๆ เพื่อเน้นให้เกิดความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งเขาบอกว่าคนที่มาที่นี่ จะได้ค้นพบตัวตน และสร้าง a better version of yourself หรือการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม นำไปสู่การดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่ถูกต้อง
ความแปลกแต่เก๋ คือ ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่ไม่อนุญาตให้แขกใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กในพื้นที่สาธารณะของรีสอร์ท ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยหรือแม้แต่การเช็คอีเมล ไถฟีดดูรูป-อ่านอะไรบางอย่างก็ตาม โดยจะสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้เฉพาะเมื่อกลับเข้าห้องพักส่วนตัวแล้วเท่านั้น เพื่อเป็นการทำ digital detox หรือให้เราได้ห่างจากพลังงานและคลื่นความถี่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บ้าง ช่วยลดความเครียด ให้สมองได้พักผ่อนจริงๆ เพราะเขาทำการวิจัยมาแล้วว่าทุกครั้งที่เราจับมือถือแล้วดูอะไรสักอย่าง สมองเราจะเกิดความคิด และจิตใจก็จะเกิดปฏิกิริยาความรู้สึกอะไรบางอย่างเสมอ ซึ่งทำให้เราเกิดความกังวลและเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว แรกๆ อาจจะรู้สึกอึดอัด แต่เชื่อเถอะว่าพอผ่านไปสักพักจะเริ่มชิน และการใช้เวลามองฟ้า มองทะเล สัมผัสลมเย็นๆ ที่เข้ามาปะทะตัว มันรู้สึกดีกว่าการจ้องมือถือทั้งวันเป็นไหนๆ
ความเป็นมาของ Kamalaya เริ่มจากถ้ำพระเล็กๆ บนเกาะสมุย
จดุเริ่มต้นของ Kamalaya Koh Samui คือ การที่สองสามีภรรยา คุณ John และคุณ Karina Stewart มาค้นพบถ้ำพระแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยใช้เป็นที่วิปัสสนาและปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ อย่างหลวงปู่เพชร หลวงปู่แดง และหลวงปู่มหาสำเริง จนกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนในพื้นที่ มักมีคนมากราบไหว้ขอพรอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคุณจอห์นและคุณคารินาได้เข้ามา ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานที่ดี จึงซื้อที่ดินบริเวณโดยรอบถ้ำนี้รวม 23 ไร่ และก่อตั้งรีสอร์ทเพื่อสุขภาพแห่งนี้ขึ้นมา โดยให้ถ้ำนี้เป็นจุดศูนย์กลางของรีสอร์ท ก่อนจะต่อเติมจุดอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาโดยให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเดิม และให้ชื่อว่า ‘คามาลายา’ ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต คามาล (Kamal) แปลว่าดอกบัว หรือสัญลักษณ์แห่งความเบิกบาน และอลายา (Alaya) แปลว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ไม่น่าเชื่อเลยว่า Kamalaya Koh Samui เปิดมา 15 ปีแล้ว และโด่งดังมากในหมู่คนต่างชาติ หลายคนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ ส่วนมากมักเป็นคนที่ทำงานในสายครีเอทีฟ ศิลปิน ดีไซเนอร์ ผู้บริหารในองค์กรเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึงเหล่าเซเลบริตี้ นางแบบ นายแบบ พวกเขาจะมาอยู่กันทริปละหลายวัน หลายอาทิตย์หรือหลายเดือนก็มี และ 30% ของลูกค้ามักกลับมาใช้บริการซ้ำ แต่ว่าคนไทยกลับไม่ค่อยรู้จักที่นี่เท่าไร เพราะบางคนอาจจะคิดว่าการมารีสอร์ทเพื่อสุขภาพจะต้องมีข้อห้ามมากมายจนหมดสนุกรึเปล่า ซึ่งเราขอบอกไว้ก่อนตรงนี้เลยว่า การมาเข้าพักที่คามาลายาจะเปลี่ยนภาพความคิดของ “รีสอร์ทเพื่อสุขภาพ” ที่เราเคยมีไปอย่างสิ้นเชิง
เช็คอิน ตรวจสุขภาพ และเลือกโปรแกรมทรีตเมนต์บำบัดที่ตอบโจทย์แต่ละคน
รถของ Kamalaya มารับเราที่สนามบินสมุย และใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็มาถึงรีสอร์ท บรรยากาศผ่อนคลายมากๆ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ แล้วก็อยู่บนเนินเขา จึงมีลมพัดเย็นสบาย แถมไม่เหนียวตัว และด้วยความที่เป็นเนินเขานี้เอง เราเลยอยากแนะนำให้สวมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะที่กระชับ จะเดินได้สะดวกกว่า
พนักงานเวลคัมเราด้วยการเสิร์ฟน้ำสมุนไพรสดชื่นพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่มีกลิ่นหอมๆ ของหญ้าใต้ใบ อันเป็นกลิ่นซิกเนเจอร์ของคามาลายา หลังจากนั้น เขาจะให้เราเลือกโปรแกรมที่ต้องการบำบัด ซึ่งมีถึง 17 โปรแกรม เช่น ดีท็อกซ์ เบสิคฟิตเนส การควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสม การจัดการความเครียดและเมื่อยล้า การเพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับ ผ่อนคลายจากภายใน การรับมือกับความเครียดและความเปลี่ยนแปลง การปรับสมดุลทางอารมณ์ หรือแม้แต่โปรแกรมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2563 อย่าง Beauty & Glow ที่เป็นการฟื้นฟูร่างกายจากภายในให้เกิดความสมดุล มอบผิวพรรณที่สดชื่นมีชีวิตชีวา เปล่งประกายความงามในแบบของตัวเองออกมาภายนอก
ก่อนอื่นเราต้องกรอกแบบฟอร์มสุขภาพและไปตรวจเช็คร่างกายด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทันสมัย (Body Bioimpedance Analysis) ให้รีสอร์ทได้รู้ถึงความต้องการในเบื้องต้นของแขกแต่ละคน โดยเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยให้คำปรึกษา (Wellness Consultation) และอธิบายถึงสภาวะร่างกายของเราในปัจจุบัน เพื่อจะได้ออกแบบโปรแกรมทรีตเมนต์มาเป็นตารางเวลาในแต่ละวันมาให้
Beauty & Glow โปรแกรมทรีตเมนต์เพื่อเปล่งประกายความงามจากภายใน
ทริปนี้ เราเลือกโปรแกรม Beauty and Glow ซึ่งจะมีการนวดท้อง Chi Nei Tsang เป็นการนวดหน้าท้องแบบกดจุดซึ่งเป็นจุดลมปราณเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตึง รักษาสมดุลของร่างกาย บรรเทาความเครียด ปลดปล่อยอารมณ์ด้านลบ และกระตุ้นระบบขับถ่าย, การนวดหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าว (Holistic Acupressure Facial Massage) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดสิว ลดริ้วรอย กระชับผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและให้หน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น, การนวดกระตุ้นระบบน้ำเหลือง (Lymphatic Drainage) เป็นการนวดอย่างแผ่วเบาเพื่อขับสารพิษ ลดสิว ลดอาการบวมน้ำ ปรับระบบภูมิคุ้มกัน และ Far Infrared Sauna หรือการทำซาวน่าด้วยความร้อนจากแสงอินฟราเรด เข้าไปแค่ 30 นาทีก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้เทียบเท่าการออกกำลังกายนาน 5 ชั่วโมง ให้เราบอกลาไขมันส่วนเกินได้เลย เนื่องจากรังสีอินฟราเรดนั้นสามารถเจาะลึกลงไปใต้ผิวหนังถึงชั้นเซลล์โดยไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แถมความร้อนก็ยังทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมา ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ผิวหนังและใบหน้าจะดูมีสีแดงสดใสเลยทีเดียว
คนที่เข้าพักประมาณ 3-4 วันจะได้ทรีตเมนต์ประมาณเท่านี้ แต่ถ้ามีเวลาอยู่นานกว่านี้ เราก็สามารถทำทรีตเมนต์เพิ่มได้อีก ซึ่งเขามีหลากหลายทรีตเมนต์น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการนวดศีรษะแบบอินเดีย (Indian Head Massage) แก้ไมเกรนและคลายความเครียด การฝังเข็ม การนวดร่างกายด้วยน้ำมันอุ่นเพื่อเพิ่มความสดชื่นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (Vital Essence Oil Massage) การทำบอดี้สครับ (Oriental Herbal Detoxifying Body Scrub and Wrap) การนวดเท้า (Traitional Asian Foot Massage) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีตารางกิจกรรมกลุ่มที่เป็น complimentary ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างเช่น คลาสนั่งสมาธิ-สวดมนต์ตอนเช้า คลาสโยคะ พิลาทิส ชี่กง แอโรบิคในน้ำ และแม้แต่การจิบชาและทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ฯลฯ ตามมาด้วยฟิตเนสที่มองเห็นวิวทะเล สระว่ายน้ำออกแบบมาคล้ายกับอยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ห้องอบไอน้ำ (Steam room) แล้วก็บ่อแช่น้ำร้อนกลางแจ้ง เรียกว่ามีกิจกรรมเพื่อสุขภาพให้เราเลือกทำตลอดทั้งวันกันไปเลย หรือถ้าใครอยากจะไปสัมผัสน้ำทะเล ก็สามารถเดินลงเนินหรือเรียกรถบักกี้ให้ไปส่งได้ เขามีแพดเดิลบอร์ดให้ออกไปพายเล่นสนุกๆ ด้วยนะ
ห้องพักที่ไม่มีทีวี มีแต่ความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ
ในส่วนของห้องพัก ที่นี่เน้นการออกแบบโครงสร้างห้องพักที่คำนึงถึงทิศทางลม และใช้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้ อิฐ หิน เพื่อให้เป็นสถานที่ที่สร้างความผ่อนคลายอย่างแท้จริง ทั้งหมด 59 ห้องพัก มีทั้งแบบห้องและวิลล่าตั้งเรียงรายกันไปตามเขิงเขา วิลล่าที่เรามาพักเนื้อที่ค่อนข้างกว้างขวางมาก นอกจากส่วนของเตียงนอนคิงไซส์แล้ว ก็ยังมีโซฟาขนาดใหญ่ไว้ให้นั่งเล่น พร้อมเสิร์ฟผลไม้เพื่อสุขภาพให้เราทุกวันของการเข้าพัก อย่างเช่น มะนาว ฝรั่ง กล้วย เขยิบมาอีกนิดมีโต๊ะสำหรับนั่งทำงานหรือแต่งตัว แล้วก็ห้องน้ำที่เป็นกึ่งเอาท์ดอร์ซึ่งเราชอบมากๆ ตอนกลางคืนอาจจะมียุงบ้าง แต่พนักงานก็จะมาจุดยากันยุงไว้ให้ เช่นเดียวกับตรงระเบียง ที่สำคัญคือภายในห้องพักไม่มีทีวี แต่นั่นกลับทำให้เรารู้สึกว่าได้พักผ่อนอย่างแท้จริง อยู่ไปสักพักก็จะเริ่มชินและค้นพบว่ามันทำให้เรานอนหลับได้ง่ายขึ้น
อาหารคลีนที่ทั้งหน้าตาดี รสชาติอร่อย ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง แถมเปลี่ยนเมนูใหม่ทุกวัน
และส่วนที่เราเซอร์ไพรซ์ที่สุด ก็คงไม่พ้นอาหาร เพราะยอมรับว่าก่อนมาพักที่นี่ค่อนข้างเป็นกังวล กลัวว่าเมนูสุขภาพจะเน้นธัญพืชหรือพืชผักเกินไปจนทำให้เราไม่อิ่ม หรือรู้สึกไม่อร่อย แต่คามาลายาก็มาเปลี่ยนภาพของ ‘อาหารเมนูสุขภาพ’ ของเราไปอีกเช่นกัน เพราะเขารังสรรค์อาหารได้ตอบโจทย์ครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งหน้าตาก็สะสวยน่าทาน รสชาติอร่อย ทั้งยังผ่านกระบวนการปรุงที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติ ปลอดสารพิษ ไม่หมักดอง ไม่ใช้ผงชูรส หลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลหรือพยายามใช้ให้น้อยที่สุด เน้นผักเยอะ แต่มีสีสันไม่น่าเบื่อ ขณะที่เนื้อสัตว์ก็จะมีให้เลือกเป็นปลา ไก่ กุ้ง แกะ และใช้การย่าง นึ่ง ลวก เท่านั้น ไม่มีการนำไปผัด แต่ถ้าเมนูที่จะต้องผัดจริงๆ ก็จะใช้น้ำมันมะกอก
ความสนุกคือเมนูอาหารเปลี่ยนทุกวันมาสร้างความตื่นเต้นให้เราตลอด ซึ่งเขาก็จะทำสัญลักษณ์สีเขียวไว้สำหรับเมนูที่เป็นดีท็อกซ์ เป็นการแนะนำให้คนที่เลือกโปรแกรมดีท็อกซ์เลือกทาน แต่ถ้าหากไม่อยากเลือก เขาก็ไม่บังคับ หรือบางทีก็จะมีเมนูเลียนแบบอาหารทั่วไปเพื่อสร้างความน่าสนใจ เช่น ราเมงเย็น ข้าวมันไก่ ขนมครก มากิซูชิ ฯลฯ แต่ว่าทำออกมาในแบบของเมนูเพื่อสุขภาพ ทำให้การทานอาหารที่นี่เป็นเรื่องไม่น่าเบื่อเลย เราอิ่มอร่อยทุกมื้อ ไม่มีคำว่าหิว เว้นแต่ว่าอาหารจะค่อนข้างย่อยเร็ว ซึ่งก็เป็นข้อดีของอาหารคลีน ทำให้กระเพาะเราไม่ต้องทำงานหนัก แต่ว่าได้โภชนาการและสารอาหารครบถ้วน
ในช่วงเช้า บุฟเฟต์จะเสิร์ฟที่ Soma Restaurant ห้องอาหารบรรยากาศโปร่งสบายที่มองเห็นวิวทะเล แนะนำให้เริ่มด้วยน้ำเพื่อสุขภาพที่มาในแก้วช็อต 4 รสชาติ แล้วค่อยไปตักอาหารซึ่งเน้นผักสลัดและซุปร้อนๆ กับพวกขนมปัง ความพิเศษคือไม่ว่าจะเป็นน้ำสลัดหรือแยมทาขนมปังก็ตาม จะเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่เราไม่เคยทานมาก่อน ทำจากฟักทองบ้าง ผสมอัลมอนด์บ้าง มะพร้าวบ้าง อ้อ! เราสามารถสั่งไข่ต่างๆ หรือข้าวต้ม ข้าวผัดมาทานเพิ่มได้ แต่ไม่ต้องมองหาไส้กรอกหรือเบคอนนะ ที่นี่ไม่มีแน่นอน
มื้อกลางวันต้องไปทานที่ Amarita Cafe ซึ่งจัดที่นั่งไว้เป็นซุ้มแยกๆ กัน หลายๆ มุม ค่อนข้างไพรเวท ที่นี่เราได้ลองลาบ ส้มตำ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ซึ่งทุกอย่างเป็นเวอร์ชั่นคลีนหมดเลย แต่สิ่งที่เราชอบมากๆ คือน้ำ เพราะเขามีให้เลือกเยอะมากกกก ไม่ใช่แค่น้ำผลไม้หลากชนิด แต่ยังมีพวกสมูทธีที่เป็นส่วนผสมใหม่ของทางคามาลายาเอง แอบกระซิบว่าเครื่องดื่มแก้วโปรดของเราที่มาทีไรก็สั่งตลอด คือ เบอร์รี่โคโค ผสมเบอร์รี่หลายชนิดปั่นละเอียดมาพร้อมเนื้อมะพร้าวกรุบกรอบ ก่อนที่มื้อเย็นจะกลับไปที่ Soma Restaurant อีกครั้งในบรรยากาศที่ต่างไป โรแมนติกมากขึ้น และเมนูอาหารก็เปลี่ยนไปด้วย มีขนมหวานน่ารักๆ อย่างพวกซูเฟล่ และดาร์กช็อกโกแลตด้วยล่ะ
ทริป 4 วัน 3 คืนของเราจบลงแบบประทับใจมาก บอกเลยว่าที่นี่คือ holistic wellness resort ที่ให้มากกว่าการพักผ่อน เพราะทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทั้งร่างกาย จิตใจ และลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ มันทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการกลับไปปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต อยากตื่นให้เช้าขึ้น อยากออกกำลังกายให้สม่ำเสมอมากขึ้น แล้วก็ดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดีกว่าเดิม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีผ่านการทำงานและการใช้ชีวิต เพราะเราเข้าใจแล้วว่า ‘You are what you eat’ มีความหมายว่าอย่างไร และนี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการมาพักที่ Kamalaya Koh Samui ถึงทำให้เราค้นพบตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น
จองห้องพักหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 077 429 800 อีเมล reservations@kamalaya.com หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.kamalaya.com/thailand-asia/offers/extended-bliss.htm และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kamalaya.com/