หลังจากขับรถล่องเนินบนเขาใหญ่มาได้สักพัก เราก็มาถึง Hotel Labaris Khaoyai (โฮเทล ลาบาริส เขาใหญ่) ที่พักแสนสวยที่ใครๆ ก็บอกว่าเหมือนดินแดนในเทพนิยาย ที่ทำให้วันพักผ่อนของเรากลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์
ท่ามกลางแมกไม้อันอุดมสมบูรณ์และอากาศบริสุทธิ์ของเขาใหญ่ Hotel Labaris Khaoyai ออกแบบตัวตึกขึ้นอย่างกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เป็นรูปทรงเหมือนปราสาท บวกกับการออกแบบจัดวางแปลนต่างๆ ภายในโรงแรมที่มีมุมเลาะเลี้ยวเป็นเขาวงกต ลึกลับน่าค้นหา แถมยังตกแต่งด้วยรูปปั้นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยตามสนามหญ้า จนเราก็นึกว่าตัวเองเป็นอลิซอินวันเดอร์แลนด์เดินหลงเข้ามาที่นี่
คอนเซ็ปต์ของเขาคิดมาอย่างพิถีพิถันค่ะ เริ่มจากคำว่า Labaris เป็นภาษาละติน ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า Labyrinth แปลว่าเขาวงกต โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานปกรณัมกรีกอย่างมิโนทอร์ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในเขาวงกต จึงไม่แปลกที่แขกที่เข้ามาพักที่นี่จะรู้สึกเหมือนเป็นนักเดินทางที่หลงเข้ามาในดินแดนลึกลับ
ภายในรีสอร์ทได้แบ่งพาร์ตออกเป็น 5 chapter เหมือนเปิดอ่านหน้าหนังสือนิยายยังไงอย่างงั้น เริ่มตั้งแต่
Chapter 1: Welcome zone
ส่วนแรกเมื่อก้าวเข้ามาจะเป็นทางเดินลดเลี้ยวและก็มีดอกหญ้าฟูๆ กับสัตว์ในนิยายอย่าง Lapin Horn หรือ Fire Caster คอยแอบอยู่เป็นสีสัน ตรงนั้นจะมีคาเฟ่อยู่ด้วย ชื่อว่า Rabbit Café ซึ่งคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเข้าพักที่นี่ ก็สามารถมานั่งจิบกาแฟได้ เป็นคาเฟ่เล็กๆ สีขาวเรียบๆ ดูมินิมัล เหมือนอยู่ในโพรงกระต่ายเลย
Chapter 2: Hotel & Lobby (The Heart of Labaris)
ก่อนจะเข้าห้องพัก เราต้องทำการเช็คอินกันก่อนใช่ไหมคะ เคาน์เตอร์เช็คอินที่นี่ตกแต่งเป็นโทนสีน้ำเงินเข้ม ประดับแชนเดอเลียร์ มีโซฟานั่งรอเยอะแยะ รวมถึงที่นั่งที่ทำจากหวาย หน้าตาคล้ายๆ กรงนก น่ารักมากเลย แถมใกล้ๆ ก็ยังมีห้องสมุดเล็กๆ สำหรับคนที่อยากเอาคอมมานั่งทำงานหรือพักผ่อนก็ได้นะ ส่วนขั้นตอนการเช็คอินนั้น พนักงานให้คำอธิบายดีมากถึงพื้นที่ในโรงแรม ก่อนจะให้กุญแจนำทางและแผนที่ให้เราไปสำรวจ Hotel Labaris กันค่ะ
ห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 4 แบบ โดยแบ่งเป็น Hotel กับ Villa ในส่วนของ Hotel มีห้อง Deluxe room, Grande Deluxe room และ Duplex Room ส่วน Villa ก็จะเป็นพูลวิลล่าแบบหนึ่งหรือสองห้องนอน หรูหรามากค่ะ
เราได้พักห้อง Deluxe อยู่ที่ชั้น 1 เลยค่ะ ข้อดีคือไม่ต้องขึ้นบันได แต่เราต้องเดินเข้าให้ถูกช่องนะ เพราะมีบานประตูสีน้ำเงินอยู่เรียงๆ กัน เนื่องจากทางเข้าแต่ละห้องพักมันไม่ซ้ำกัน เหมือนเล่นเกมเลยแหละ
แม้จะเป็นประเภทห้องเริ่มต้น แต่พื้นที่ห้องกว้างมากกกกก ขนาด 44-45 ตร.ม. การตกแต่งภายในห้องเขาเรียบง่ายค่ะไม่มีอะไรมาก มีเตียงนุ่มๆ มีทีวี ตู้เย็น และระเบียงวิวสวนให้ออกไปรับลม แต่ที่เราชอบก็คือห้องน้ำ เพราะนอกจากจะกว้างใหญ่แล้ว ก็ออกแบบเป็นเรโทรผสมโมเดิร์นได้อย่างลงตัวมาก
Chapter 3: Villa (Explore the Secret Room)
ส่วนนี้เป็นสวนด้านหลัง จะนำเราไปยังห้องอาหารและสระว่ายน้ำ เขาออกแบบเป็นทางเดินยาวที่มีต้นไม้สองข้างทาง สวยมาก แล้วก็เป็นมุมไฮไลท์ที่ทุกคนจะต้องมาชักภาพตรงนี้เป็นที่ระลึก ก่อนจะเข้ามาเจอ Infinite Forest ที่ใช้กระจกมาหลอกตา ประหนึ่งว่ามีสวนหลายมิติซ่อนอยู่ ขณะเดียวกัน เขาก็มี secret village เป็นหมู่บ้านลึกลับที่ซ่อนอยู่บริเวณนั้นด้วย นั่นก็คือโซนที่พักแบบวิลล่านั่นเอง
Chapter 4: Conference & Restaurant (Tracking the Beauty of Romance)
มาถึงในส่วนของร้านอาหารกันบ้างค่ะ Labaris Restaurant เขาเปิดบริการตั้งแต่มื้อเช้าถึงค่ำ โดยช่วงเช้าจะจัดเป็นบุฟเฟต์ อาหารเยอะมาก มีให้เลือกหลากหลาย และก็อร่อยด้วย ส่วนมื้อเที่ยงกับเย็น ก็จะเสิร์ฟอาหารไทยฟิวชั่น และอาหารฝรั่งประเภทสเต็ก เนื้อย่างต่างๆ คือดีงามมาก แต่ว่ามีจุดเด่นคือบาร์เครื่องดื่มซึ่งเขารวมไวน์มาจากหลายแห่งในโลก แล้วก็ยังมีค็อกเทลที่ผสมผสานมาได้หรูหรากลมกล่อม นอกจากนี้ตรงข้ามกับฝั่งของร้านอาหารก็จะมีห้องจัดประชุมด้วย โดยมีสวนที่กลางคืนจะเปิดไฟสวยงามเชียว
Chapter 5: Pool (The Meander Wonderer)
ส่วนสุดท้ายคือโซนโปรดของเรา นั่นก็คือสระว่ายน้ำที่ทำเป็นเหมือนลำคลองน้ำวน ไหลยาวไปเรื่อยๆ พาให้เราสำรวจไปตามลำธารคดเคี้ยวแล้วก็มีสวน มีต้นไม้อยู่ข้างๆ ตลอดด้วย บรรยากาศสงบเงียบ แล้วก็มีที่ให้เรานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือหลายมุมเลย หรือใครอยากจะเดินไปสำรวจด้านหลัง ก็จะเห็นธารน้ำตกเล็กๆ ซึ่งเป็นน้ำตกของจริง เขาไม่ให้ลงไปเล่น แต่แค่ยืนดูและฟังเสียงน้ำไหลก็พริ้มในอารมณ์แล้วจ้า
สรุปว่าเป็นโรงแรมที่คอนเซ็ปต์น่าสนใจ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะ ห้องพักถึงจะเรียบง่ายไปนิดแต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ แล้วก็ยังมีร้านอาหารกับร้านกาแฟ ซึ่งเราคิดว่าต่อให้ไม่ได้เข้าพักที่นี่ ก็ควรค่าแก่การมาแวะชมแวะชิมมากๆ เลยค่ะ
โทร 063-190-1900 หรือ www.hotellabaris.com