ก่อนเดินทางไปเกาะกูด ต้องบอกว่าที่กรุงเทพฯฝนตกหนักมาทั้งสัปดาห์จนเราแอบหวั่นใจว่าทริปเกาะกูดที่วางแผนจะไปพักผ่อนในช่วงโลว์ซีซันที่ Away Koh Kood Resort นั้น เราจะรอดจากมรสุมรึเปล่า มันคือความกังวลใจเสมอเมื่อคิดจะไปทะเลหน้าฝน
การเดินทางเปิดฉากขึ้นในวันธรรมดาของเดือนสิงหาคม เราหนีโลกแห่งความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ตั้งใจจะไปรีชาร์จพลังแบบเงียบๆ ต้องการแค่หาดทรายขาว และนอนมองทะเลสีฟ้าที่ค่อยๆ ไล่ระดับไปจนถึงน้ำเงินเข้ม คอยฟังเสียงนกและคลื่นเคล้าคลอกันไป ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่เราเลือกจองที่พักมาที่ Away Koh Kood Resort
7.00 ขับรถออกจากกรุงเทพฯ
12.30 ถึงท่าเรือแหลมศอก (สามารถจอดรถไว้ที่ท่าเรือได้ มีที่จอดในร่มอย่างดีของ Koh Kood Express ค่าที่จอดรถวันละ 50 บาท)
13.00 ขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะกูด (ใช้เวลา 1.15 ชั่วโมง และจะมีรถสองแถวรับส่งฟรีถึงรีสอร์ทเลย) สำหรับ fast ferry ราคา 350 บาท/เที่ยว และ speed boat 500 บาท/เที่ยว
ต้องบอกว่าราคาเรือเฟอร์รี่ที่ให้ไปนี้เป็นราคาสำหรับหน้า low ซึ่งก็จะถูกกว่าหน้า high แต่เขาคอนเฟิร์มว่าเรือมีขนาดใหญ่ แข็งแรง และออกแบบมาให้ล่องได้แม้ในช่วงที่มีมรสุม (แต่ถ้าวันที่ฝนตกหนักมากๆ คลื่นแรงมากๆ เขาก็จะพิจารณาเป็นครั้งๆ ไป) ดังนั้นมั่นใจได้ในความปลอดภัย
ตลอดทางบนรถสองแถว จากท่าเรือมายัง Away Koh Kood เราพบว่าที่เกาะนี้ยังมีความเรียบง่ายมากจริงๆ ชาวบ้านอยู่กันใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ ไม่มีแม้แต่ 7-11 แอบนึกสงสัยว่าตอนช่วงโควิดปิดเกาะ ที่นี่จะเหงาแค่ไหนน้า…
‘เกาะกูด’ จังหวัดตราด เป็นเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและเงียบสงบอันดับต้นๆ ของอ่าวไทยอยู่แล้ว และคอนเซ็ปต์ของ Away Koh Kood Resort ที่เราเลือกไปพักกันก็เป็นรีสอร์ทแบบอีโค รักษ์โลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นความสงบและผ่อนคลาย ให้ผู้เข้าพักได้รู้สึกว่าตัวเอง ‘Away’ หลีกหนีจากความวุ่นวายสมชื่อ เราสามารถปล่อยเวลาให้เดินช้า และอยู่ที่นั่นโดยแทบไม่ต้องออกไปที่อื่นเลยก็ได้ถึงสองสามคืน
ที่พักในคอนเซ็ปต์อีโค ใกล้ชิดธรรมชาติ
สิ่งแรกที่พบเมื่อไปถึงคือป้ายพยากรณ์อากาศด้วยมะพร้าวสุดน่ารักที่มาต้อนรับอยู่หน้าทางเข้า แน่นอนว่าตอนนั้นมะพร้าวแห้ง แดดจ้า เราใจชื้นกันอีกหนึ่งเปราะ และเมื่อยิ่งเดินเข้าไป ก็ยิ่งมั่นใจว่าเราชาร์จพลังที่นี่ได้จริงๆ ตัวรีสอร์ทอยู่ติดกับชายหาดแบบที่เดินแค่ 10 ก้าวก็ถอดรองเท้าเหยียบทรายนุ่มๆ ได้เลย มีสระว่ายน้ำขนาดกลางอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทสำหรับคนที่อยากลงว่ายสบายก่อนๆ ลงทะเล ตามด้วยที่เก็บเรือคายัคที่แค่เห็นก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องมาพายกันสักรอบ ตลอดทางเดินมีศาลาไม้และเก้าอี้ยาวเป็นพักๆ ให้เรามานอนชิวรับลมทะเล ห้องพักก็อยู่เรียงรายกันเป็นหลัง คั่นด้วยต้นไม้อุดมสมบูรณ์
หลังจากเช็คอินและดื่มเวลคัมดริงก์เป็นน้ำพั้นช์หวานๆ เย็นๆ ชื่นใจแล้ว ก็ได้เวลาเข้าห้องพักแบบ Deluxe Ocean Front เป็นบังกะโลไม้ติดชายหาด เน้นความโปร่งโล่ง โทนสีน้ำตาลอบอุ่น เป็นห้องที่สามารถพักกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง 3-4 คน จะเหมาะมาก เพราะในห้องมีเตียงคิงไซส์ 2 เตียง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ตั้งแต่ไดร์เป่าผม ผ้าเช็ดตัว ทีวี ตู้เซฟเก็บของ ตู้เสื้อผ้า ไปจนถึงตู้เย็นที่มีน้ำเปล่าให้ฟรีหลายขวดมาก ส่วนมินิบาร์อื่นๆ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีระเบียงด้านข้างห้องนอน ซึ่งมีโซฟาตัวกลมน่ารักๆ กับโต๊ะให้นั่งทานอาหารหรือคุยเล่นกัน
กิจกรรมในห้องเวลาอยู่กับเพื่อนสาวก็คงไม่พ้นเรื่องความสวยความงาม เราต้องเตรียมตัวก่อนออกแดดกันหน่อย ทริปนี้เราพกน้ำหอมผม Tiby Hair Perfum – KISS ME SCENT ซึ่งช่วยปกป้องผมจากรังสียูวีและให้กลิ่นหอมตั้งแต่เช้าถึงเย็น ก่อนจะแปะแผ่นมาส์กคอลลาเจน Farm Stay เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าอีกสักนิด
Cast Away ร้านอร่อยที่ทำให้เราต้องพูดคำว่า “อิ่มมากกก” หลังอาหารทุกมื้อ
ตั้งแต่มื้อเช้าถึงเย็นเราไปทานอาหารกันที่ ‘Cast Away’ ห้องอาหารและบาร์ของรีสอร์ท อาหารที่นี่รสชาติอร่อย เน้นใช้ของทะเลสดใหม่ คุณภาพสมราคา ไฮไลท์คือน้ำผลไม้ปั่นเย็นชื่นใจ ช่วยดับร้อนได้ดีมาก
สำหรับมื้อเช้า ถ้าเป็นวันที่แขกเข้าพักเยอะๆ เขาจะจัดบุฟเฟต์ แต่ถ้าช่วงนี้ การท่องเที่ยวยังไม่ค่อยฟื้นมาก ทางโรงแรมก็จะบริการมื้อเช้าแบบ a la carte มีให้เลือกทั้งอาหารไทย เช่น ข้าวต้ม ผัดไทย ผัดกระเพรา และอเมริกันเบรกฟาสต์ พร้อมชา กาแฟ และน้ำผลไม้
- สำหรับคนที่มองหาร้านอาหารนอกรีสอร์ทในโซนใกล้เคียง อ่านเพิ่มเติม > บาร์ค็อกเทลเคล้าเสียงคลื่นบนเกาะกูดที่ Peterpan Resort
หลังจากเราเติมพลังด้วยอาหารอร่อยๆ จากรีสอร์ทแล้ว วันนี้เรามีแพลนจะนั่งเรือหางยาวไปที่ น้ำตกคลองเจ้า กัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการที่โรงแรมเตรียมไว้ให้
ล่องเรือไปชุ่มฉ่ำกันที่น้ำตกคลองเจ้า
ความพิเศษของเกาะกูดคือความครบรสของแหล่งท่องเที่ยว นอกจากทะเลแล้ว ก็ยังมีลำคลองน้ำจืด แล้วก็มีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะและเปรียบเหมือนแลนด์มาร์คของเกาะกูดเลยก็คือ ‘น้ำตกคลองเจ้า’ น้ำตกประวัติศาสตร์ซึ่งจารึกพระปรมาภิไธยย่อ “วปร” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ที่ได้พระราชทานนามน้ำตกแห่งนี้ว่า “น้ำตกอนัมก๊ก” เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ “องค์เชียงสือ” กษัตริย์ญวน
ความโชคดีก็คือ Away Koh Kood Resort นั้นอยู่ไม่ไกลจากน้ำตกแห่งนี้เลย ทางรีสอร์ทมีบริการเรือพาล่องไปตามคลอง ซึ่งชื่อว่า ‘คลองเจ้า’ ล้อมรอบด้วยป่าโกงกาง ผ่านแนวต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ หลังจากลงเรือแล้วก็ต้องเดินเท้าต่ออีก 15 นาที ลัดเลาะปีนโขดหินเข้าไป โดยเขาจะมีเชือกให้จับตลอดทาง ให้ฟีลแอดแวนเจอร์กันนิดหน่อย
พอมาถึงน้ำตกคลองเจ้า โอ้โห! น้ำไหลแรงมาก เย็นเจี๊ยบสดชื่นสุดๆ ละอองน้ำสะท้อนเห็นสายรุ้งบนอากาศ ใครอยากจะนั่งแช่น้ำตกสบายๆ ให้ปลาตอดเล่น หรืออยากกระโดดน้ำ ก็มีหลายมุมให้ท้าทาย ตั้งแต่ระดับเด็กอนุบาลไปจนถึงระดับโปร และนี่คือข้อดีของเกาะกูดหน้าฝน เพราะถ้าไม่มาหน้าฝน ก็จะไม่ได้เจอน้ำปริ่มเต็มไหลแรงขนาดนี้นะ
พี่คนขับเรือของทางรีสอร์ท นอกจากจะเตรียมเสื้อชูชีพให้เราสำหรับเล่นน้ำตกแล้ว ก็ยังคอยดูแลความปลอดภัยเราอย่างใกล้ชิด แนะนำจุดสวยๆ ของน้ำตก รวมถึงจุดปลอดภัยในการกระโดดน้ำ แถมยังกระโดดโชว์ให้พวกเรากรี๊ดกร๊าดอยู่หลายท่วงท่า กระทั่งขากลับจากน้ำตก ก็ยังขับเรือพาเราไปวนดูวิวสวยๆ ของท้องทะเลอีกต่างหาก ก่อนจะพาเรามาส่งที่รีสอร์ทให้ได้พายคายัคกันต่อในช่วงเย็น
3 วัน 2 คืนของเรา ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนขับรถกลับถึงกรุงเทพฯ แม้จะเป็นหน้าฝน แต่ก็ไม่เจอฝนเลย พิสูจน์แล้วถ้าเลือกจังหวะให้ดี เช็คพยากรณ์อากาศไปให้แม่น เตรียมตัวให้พร้อม อาศัยโชคอีกนิดหน่อย ก็จะพบว่าเกาะกูดช่วงโลว์ซีซันนั้นเที่ยวสนุกมากจริงๆ แถมยังประหยัดเพราะค่าห้องพักและค่าเรือที่ถูกกว่าด้วยนะ 🙂
Info & Tips
เช็คราคาและจองที่พักได้ที่ > Away Koh Kood Resort
จองเรือเฟอร์รี่ได้ที่ https://www.kokutexpress.in.th/