เวียงจันทน์ หลวงพระบาง ยังคงเป็นจุดหมายที่ฮอตฮิตสำหรับคนไทยเสมอในการเที่ยวลาว เพราะลาวเป็นประเทศเพื่อนบ้าน มีพรมแดนติดกัน มีวัฒนธรรมและภาษาคล้ายๆ กัน และเสน่ห์ของลาวก็คือความใจดีของคนลาว รวมถึงภูมิประเทศสวยๆ เงียบสงบ มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จนหลายคนก็บอกว่าเหมือนเมืองไทยในอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
สมัยก่อน การเดินทางเที่ยวลาว ถ้าต้องมีการข้ามภาคไกลๆ ก็ต้องนั่งรถบัสหรือรถตู้ขึ้นเขา-ลงเขา ใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่เมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา รถไฟลาว-จีนได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ (ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 5,900 ดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างจีนและลาว ตั้งแต่เวียงจันทน์ไปจนถึงคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนานในประเทศจีน รวมทั้งหมด 32 สถานี
ปัจจุบันรถไฟสายลาว-จีน เปิดให้บริการเฉพาะในประเทศลาวก่อน ซึ่งจะมีอยู่ 6 สถานีด้วยกัน ได้แก่ สถานีบ่อเต็น สถานีเมืองไซ สถานีหลวงพระบาง สถานีวังเวียง สถานีโพนโฮง และสถานีเวียงจันทน์ ใช้เวลาเดินทางตลอดทั้งสายเพียง 4 ชั่วโมง 20 นาที ขณะที่หากเป็นการเดินทางโดยรถยนต์นั้นต้องใช้เวลายาวนานถึง 13 ชั่วโมง ทำให้นอกจากจุดประสงค์เรื่องการขนส่งสินค้าแล้ว การท่องเที่ยวของลาวก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ดังนั้นต่อให้มีวันหยุดสั้นๆ แค่ 2-3 วัน ตอนนี้คนไทยก็สามารถแพ็กกระเป๋าไปเที่ยวลาวได้แบบง่ายๆ
เส้นทางยอดนิยม นั่งรถไฟเที่ยวลาว
- เวียงจันทน์ – วังเวียง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 5 นาที ราคาประมาณ 500 บาท (ตั๋วชั้น1)
- เวียงจันทน์ – หลวงพระบาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที ราคาประมาณ 957 บาท (ตั๋วชั้น1)
- เวียงจันทน์ – บ่อเต็น ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 20 นาที ราคาประมาณ 1,618 บาท (ตั๋วชั้น1)
รถไฟเวียงจันทน์-หลวงพระบาง และวิธีจองตั๋ว
ทริปนี้เราตื่นเต้นมากที่ได้มาลองนั่งรถไฟใหม่ โดยเลือกเส้นทางเวียงจันทน์-หลวงพระบาง เพราะสถานีเวียงจันทน์เป็นสถานีต้นทางที่อยู่ใกล้เมืองไทยมากที่สุด การเดินทางจากเมืองไทย มีอยู่หลายวิธีได้แก่ นั่งเครื่องบินมาลงที่เวียงจันทน์, นั่งเครื่องบินมาลงอุดรฯแล้วต่อรถตู้ หรือจะมาทางรถยนต์ รถโดยสาร ข้ามทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาวก็ได้
สมัยก่อน เราเคยนั่งรถตู้จากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง ต้องใช้เวลาราวๆ 8 ชั่วโมง (ถ้าเป็นรถบัสอาจยาวนานถึง 10-12 ชั่วโมง) และเส้นทางอ้อมเขาคดเคี้ยวมาก มีผู้โดยสารเมารถกันจนเป็นปกติ แต่ไม่น่าเชื่อว่าด้วยรถไฟความเร็วสูงสายลาว-จีนนี้ การเดินทางจากเวียงจันทน์-หลวงพระบาง จะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาทีเท่านั้น ในราคาตั๋วชั้น 1 เพียง 957 บาท ประหยัดเวลาและเงินไปได้เยอะ
- รถไฟออกจากเวียงจันทน์ 8.30น. มาถึงสถานีหลวงพระบาง เวลา 10.20น.
- และจากสถานีหลวงพระบาง 10.50น. ถึงสถานีเวียงจันทน์ เวลา 13.05น.
วิธีการจองตั๋ว
ตอนนี้เปิดบริการเฉพาะการซื้อแบบ walk-in ที่เคาน์เตอร์ของสถานีเท่านั้น ยังไม่มีช่องทางการซื้อออนไลน์ ซึ่งเราสามารถซื้อได้ล่วงหน้าก่อนวันเดินทาง 3 วัน และให้ชำระเป็นเงินกีบเท่านั้น ไม่รับบัตรเครดิต มีให้เลือกที่นั่ง 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นธุรกิจ ชั้น 1 และชั้น 2
เคาน์เตอร์ขายตั๋ว เปิดขายตั๋วเวลา 6:50-10:00 น., 14:30-16:30 น. และ 20.00-22:00 น. ควรไปถึงเคาน์เตอร์ก่อนเวลา และผู้โดยสารต้องเตรียมหลักฐาน พาสปอร์ต ทั้งขั้นตอนการซื้อตั๋ว และแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตอนขึ้นรถไฟด้วย แอบกระซิบว่าตอนถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก่อนออกจากสถานี เขาก็จะตรวจตั๋วอีกครั้ง ดังนั้นเก็บตั๋วไว้ให้ดีเชียว
- ควรมาถึงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ 1 ชั่วโมง ด้านในรถไฟใหม่ สะอาด ที่นั่งกว้างขวาง แถมใต้ที่นั่งจะมีปลั๊กให้เสียบชาร์จโทรศัพท์ได้ด้วย
สะบายดีเวียงจันทน์
เราเริ่มต้นทริปนี้กันที่เวียงจันทน์ เมืองหลวงแห่งความสงบ เนิบช้า เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ที่ที่ลบภาพจำว่าเมืองหลวงจะต้องวุ่นวาย อย่าลืมเตรียมพูด ‘สะบายดี’ กันให้คล่องปาก เพราะคนที่นี่ยิ้มแย้มน่ารัก มาเวียงจันทน์สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเดินชมพระธาตุหลวงสีทองอร่าม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์ กราบศาลหลักเมืองและศาลเจ้าแม่สีเมือง ที่วัดสีเมืองให้จิตใจสงบ ก่อนไปชมประติมากรรมรูปปั้นเทพเจ้ากว่า 200 องค์ที่วัดเชียงควนหรือสวนพระ ที่พาเราสัมผัสความน่าเกรงขามของอิทธิพลศาสนาทั้งพุทธและฮินดูที่ยังคงแทรกซึมลึกอยู่ในรากฐานความเป็นลาวจนปัจจุบัน
แถวๆ น้ำพุ เราไปรับประทานอาหารเติมพลังมื้อเย็นกันที่ร้านขอบใจเด้อ ร้านอาหารกึ่งบาร์ภายในตึกโคโลเนียลเก่าแก่ มีเมนูให้เลือกหลากหลายทั้งอาหารลาวและอาหารฝรั่ง จิบเบียร์ลาวแท้ๆ กันสักแก้วก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ก่อนไปเดินชมประตูไซหรือประตูชัยแห่งปารีส (Arc de Triomphe) ร่องรอยประวัติศาสตร์จากฝรั่งเศสที่สวยงามและน่าเกรงขามเป็นพิเศษในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ชมวิวยามค่ำคืนริมแม่น้ำโขงที่สวนอนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ สวนสาธารณะริมฝั่งน้ำที่มองข้ามไปเห็นแม่น้ำโขงไกลสุดลูกหูลูกตา แถมเห็นประเทศไทยบ้านเราอยู่ลิบๆ ต่อด้วยเดินชม ตลาดนัดกลางคืน ในสวนปิดท้าย ซื้อผ้าซิ่นและรองเท้าพื้นเมืองน่ารักๆ ติดไม้ติดมือกันไปสักหน่อย ช็อปปิ้งได้ตามอัธยาศัย หมดวันแล้วเข้าที่พักกัน
โรงแรมแนะนำในเวียงจันทน์
Ibis Vientiane Nam Phu สุดยอดทำเลใจกลางเวียงจันทน์
โรงแรม Ibis Vientiane Nam Phu โลเกชั่นดีงามใจกลางเมือง ใกล้ลานน้ำพุแลนด์มาร์กของเวียงจันทน์ เดินทางท่องเที่ยวได้สะดวก ห้องพักสะอาดสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสมตามมาตรฐานของ Ibis เป็นที่พักผ่อนที่เหมาะมากหลังจากเดินท่องเที่ยวเหนื่อยมาทั้งวัน และต้องการชาร์จพลังไปลุยต่อในวันพรุ่งนี้ อาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งลาว ฝรั่ง หรือไทยก็มีเช่นกัน เป็นโรงแรมที่ราคาดีคุ้มค่ามากในเวียงจันทน์
จากเวียงจันทน์ สู่หลวงพระบาง ด้วยรถไฟความเร็วสูง เพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง
หลวงพระบาง กลิ่นอายเฟรนช์ โคโลเนียล อันเจิดจ้า
เสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวมาหลวงพระบางไม่ขาดสาย แค่ย่างเท้าเข้าเดินเล่นชมบรรยากาศตัวเมือง ก็ได้สัมผัสกับความเรียบง่ายและสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์แบบยุโรปผสมล้านช้าง แวะจิบกาแฟสักแก้วกับหนังสือสักเล่ม ดื่มด่ำกับบรรยากาศท้องถิ่นและสูดอากาศเบาสบายให้เต็มปอด ถ้าเช้าๆ ตื่นไหวก็ลองแวะไปเดินเล่นที่ตลาดเช้า ตักบาตรข้าวเหนียว ชมวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางและลิ้มลองอาหารท้องถิ่นแท้ๆ แบบที่ชาวบ้านรับประทานกัน ทั้งข้าวจี่ ส้มตำหลวงพระบาง และ “ไคแผ่น” สาหร่ายแม่น้ำโขงทอดกรอบ ของขึ้นชื่อของหลวงพระบาง
แวะไปชื่นชมศิลปะกันต่อที่วัดเชียงทอง อัญมณีแห่งศิลปะล้านช้าง ที่ตั้งของสิมหรืออุโบสถที่เก่าแก่ที่สุด ถ้ายังอินกับประวัติศาสตร์ล้านช้าง ก็ไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวังหลวง ย้อนรอยดูช่วงเวลาและประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดเราแทบจะที่สุด ไปสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมผ่านการทอผ้าพื้นเมืองแท้ๆ ที่ออกพบตก ลองเข้าไปชมป้าๆ ยายๆ ทำงานในสตูดิโอทอผ้า และร่วมเวิร์กช็อปลองลงมือย้อมผ้าหรือทอผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพระบางด้วยตัวเองสักครั้ง
และถ้าอยากใกล้ชิดธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีกนิดก็ไปรับลมเย็นๆ เอาเท้าแช่น้ำคลายกังวลกันที่ ตาดกวางสี น้ำตกสีเขียวมรกต และเข้าไปเดินชมผีเสื้อสวยๆ หลากหลายสายพันธุ์ที่ Kuang Si Butterfly Park เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นแถมมีผีเสื้อบินอยู่ในสวนให้เราถ่ายรูปเล่นเยอะมาก ก่อนที่ขากลับโรงแรม จะไปแวะฟาร์มควายแห่งแรกของหลวงพระบาง Laos Buffalo Dairy มีควายกว่า 200 ตัว นักท่องเที่ยวสามารถมาลองรีดนมควาย ช่วยอาบน้ำควาย แล้วก็ลิ้มลองผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนมควายมากมาย ทั้งชีส ไอศกรีม โยเกิร์ต ฯลฯ
ในช่วงเย็น เราไปทานอาหารฝรั่งเศสที่ร้านระดับท็อปของหลวงพระบางอย่าง L’Elephant (เลเลฟอง) ตกแต่งแนวร่วมสมัยผสมลาวพื้นบ้าน เมนูขึ้นชื่อคือพวกสเต็กเนื้อ สเต็กปลา ฟัวกราส์ และซุปต่างๆ รสชาติฝรั่งเศสแท้ๆ แอบกระซิบว่าร้านนี้คนแน่นตลอด อย่าลืมจองโต๊ะไปล่วงหน้า และในช่วงค่ำ กิจกรรมโปรดของเราก็คือการเดินตลาดมืดหรือถนนคนเดินที่จะมีชาวบ้านมาขายของพื้นเมืองสวยๆ มากมาย อยู่ที่ถนนข้าวเหนียวในเมืองเลย เปิดตั้งแต่ 17.00-23.00น.
โรงแรมแนะนำในหลวงพระบาง
Pullman Luang Prabang ที่ที่ธรรมชาติแห่งหลวงพระบางโอบล้อมเรา
เปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสธรรมชาตินอกเมืองที่โรงแรม Pullman Luang Prabang ที่นี่ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่แบบแลนด์สเคปที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องของธรรมชาติ ใครอยากใช้ธรรมชาติบำบัดต้องมาที่นี่เลย ด้วยห้องพักกว่า 123 ห้องแทรกตัวอยู่ตามทุ่งหญ้า สระที่มีฝูงเป็ดว่ายน้ำเล่นให้เห็นเป็นพักๆ และทิวเขาทอดยาว พร้อมสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูลข้างวิวทุ่งนาที่มีการปลูกข้าวกันจริงๆ อยากผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าให้มากขึ้น ก็สามารถเข้าไปใช้บริการสปานวดผ่อนคลายกลางทุ่งที่ Pullman Spa ได้ ทั่วโรงแรมยังมีเส้นทางให้สามารถขี่จักรยานรับลมชมวิวยามเย็น
เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกที่ทุกอย่างเชื่องช้า เป็นที่ที่เราสามารถพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สดชื่น อาบสายลมและแสงแดด พร้อมห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาว ที่ทำให้การมาเที่ยวลาวครั้งนี้เป็นการฮีลใจด้วยธรรมชาติบำบัดอย่างแท้จริง
—————————-
Sofitel Luang Prabang วัฒนธรรมล้านช้างผสมผสานเสน่ห์แห่งตะวันตก
Sofitel Luang Prabang คือส่วนผสมที่ลงตัวแห่งสถาปัตยกรรมตะวันตกกับล้านช้าง เดิมทีเคยเป็นคุ้มเจ้านายเก่าในสมัยล้านช้าง ก่อนนำมาบูรณะดัดแปลงเป็นตึกแบบตะวันตก ยุคเฟรนช์โคโลเนียล เพิ่มกิมมิกด้วยบรรยากาศและการแต่งห้องด้วยของประดับและเครื่องดนตรีพื้นเมือง ส่งให้เอกลักษณ์ของการผสมผสานนี้โดดเด่นที่สุด
แขกทุกคนที่มาเข้าพักจะได้มีพื้นที่เป็นของตัวเองเพราะห้องพักที่นี่เป็นห้องสวีททั้งหมด มีให้เลือกพักกว่า 25 ห้อง พร้อมเลือกได้ว่าอยากได้สวนส่วนตัวที่ตื่นมาสูดอากาศยามเช้าได้ตั้งแต่ลุกจากเตียง หรือสระว่ายน้ำที่ลงว่ายออกกำลังกายให้สดชื่นยามเช้าได้เลย
ไฮไลท์ของที่นี่คือพิธีบายศรีสู่ขวัญต้อนรับแขกที่มาพักในทุกวันหยุดพิเศษหรือวันมงคล โดยผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน เป็นพิธีที่เชื่อว่าช่วยเรียกขวัญกำลังใจ เสริมสร้างพลังใจให้แข็งแกร่ง เรียกได้ว่าพักที่นี่ได้สัมผัสทั้งความผ่อนคลายและสัมผัสประสบการณ์พิธีกรรมพื้นเมืองที่หาได้ยากจากที่อื่น
—————————-
3 Nagas Luang Prabang สูดกลิ่นอายความเรียบง่ายแบบหลวงพระบาง
ถัดจาก Sofitel มานิดเดียว 3 Nagas Luang Prabang ก็ตั้งเด่นเป็นสง่า ดึงดูดคนที่ผ่านไปมาด้วยความคลาสสิกโทนสีน้ำตาลแบบบ้านไม้สไตล์หลวงพระบางแท้ พร้อมรถโบราณสีแดงคันเก๋ที่เห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าถึงแล้ว ใครที่ชอบความเรียบง่ายสบายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนวันหยุดว่างๆ ก็แวะมาพักบ้านเพื่อน ได้ใกล้ชิดกับคนในชุมชน ต้องเลือกพักที่นี่เลย
3 Nagas เป็นโรงแรมขนาดเล็กเพียง 15 ห้อง ตั้งอยู่บนถนนสายหลักใจกลางหลวงพระบาง เห็นผู้คนสัญจรไปมาตลอดทั้งวัน ตั้งแต่โต๊ะอาหารด้านหน้าไปจนถึงตัวโรงแรมและห้องพักล้วนให้ความรู้สึกสบายๆ ชิลๆ สามารถตื่นเช้า ใส่ชุดสบายๆ มานั่งจิบกาแฟ กินอาหารเช้าแกล้มอากาศบริสุทธิ์ที่โต๊ะหน้าโรงแรม ทักทายผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา เพราะชาวหลวงพระบางยิ้มแย้มอัธยาศัยดีอยู่แล้ว ถือเป็นการพักผ่อนที่เรียบง่ายแต่ตรึงใจ
—————————-
Rosewood Luang Prabang โรงแรมบนเนินเขาแห่งมรดกโลกและวัฒนธรรม
มองหลวงพระบางจากมุมสูงที่ Rosewood Luang Prabang โรงแรมบนเนินเขากลางป่ามรดกโลกให้ความรู้สึกเหมือนได้ปลีกวิเวกออกมาจากโลกทั้งใบ ด้วยห้องพัก 23 ห้องที่อยู่ในป่าฝนเขตร้อนของลาว มีให้เลือกหลากหลายทิวทัศน์ทั้งริเวอร์ไซด์ริมลำธาร พูลวิลล่าริมน้ำตก หรือเต็นท์บนเนินเขาที่มองเห็นหลวงพระบางไกลลงไปใต้ระดับสายตา
ตัวโรงแรมได้รับการออกแบบและตกแต่งเพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์ในธีมของยุคมิลเลนเนียม ที่บ้านนายทหารฝรั่งเศสที่เคยถูกปิดก็เปิดขึ้นมาต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลก และในวันนี้เราเองจะได้รับบทเป็นนักเดินทางเหล่านั้น ทั้งการตกแต่งสไตล์เฟรนช์โคโลเนียล ภาพข่าวตัด ภาพเขียนที่เรียงร้อยบนฝาผนัง หรือไฮไลท์ เช่น อุปกรณ์กีฬาจากยุคที่ลาวได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เหมาะสำหรับผู้พักอาศัยที่อยากท่องประวัติศาสตร์ของโลกใบเก่า พร้อมสปาที่ฟื้นฟูเอาเธอราปีแบบดั้งเดิมที่เคยสูญหายไปของลาวกลับมาบริการแขกที่มาพักอีกครั้ง ให้เราได้พักใจและกายอย่างเงียบสงบบนเนินเขาแห่ง Rosewood
ด้วยการเดินทางที่ง่ายขึ้น และโรงแรมที่ทำให้เราได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ทริปเที่ยวลาวสั้นๆ 2-3 วัน แต่ได้ความสุขกลับมาอย่างเต็มเปี่ยม