เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือเมืองแรกที่รัชกาลที่ 5 เสด็จถึงเมื่อครั้งประพาสยุโรปตั้งแต่ 120 ปีก่อน และทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กษัตริย์รัสเซียในยุคนั้นและประชาชนชาวรัสเซีย จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันดีทางการทูตระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม
รัสเซียเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีทั้งฝั่งที่ติดกับเอเชีย และฝั่งที่ติดกับยุโรป สำหรับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้นติดกับฝั่งยุโรป ใกล้กับเยอรมันและออสเตรีย เคยเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาถึง 206 ปี จนได้รับสมญานามว่า “หน้าต่างแห่งยุโรป”
ที่นี่เหมือนเมืองแห่งเทพนิยายที่เต็มไปด้วยความคลาสสิก สถาปัตยกรรมสุดยิ่งใหญ่อลังการ พระราชวังเก่าแก่ ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกตะวันตก วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ และเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ที่เล่ากันไม่รู้จบ จึงไม่แปลกที่เมืองนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่านักเขียนและศิลปินชื่อดังของโลกหลายคน กลับไปสร้างสรรค์ชิ้นงานมากมาย
ฉันมารัสเซียในปีที่เขาบอกกันว่าหนาวที่สุดในรอบ 120 ปี ก็เคยได้ยินข่าวตั้งแต่หน้าหนาวเมื่อต้นปีว่าอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาจนมีคนตายไปเยอะมาก ดังนั้นในเดือนตุลาคมที่เรามาถึง ซึ่งที่จริงควรจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ก็เลยกลับหนาวมากกว่าที่ควรจะเป็น
ก็อย่างที่เห็น เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในสายตาของฉันแทบไม่เจอแดดเลย แถมยังต้องพกร่ม เพราะฝนตกทั้งวัน แล้วยังมีลมแรงเป็นระยะ
นี่คือถนน Nevsky ถนนสายประวัติศาตร์ที่โด่งดังของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สร้างโดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชและเป็นถนนศูนย์กลางเมืองที่แสนคึกคัก ปัจจุบันเป็นย่านการค้า มีทั้งร้านขายของที่ระลึก โรงแรมหรู 5-6 ดาว กระทรวงทหารเรือ และร้านอาหารร้านกาแฟ
แต่ละตึก แต่ละอาคาร มีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่สวยงามไปหมดเลย ร้านกาแฟที่คนไทยชอบไปแวะก็คือ Cafe Singer (ไม่ใช่คาเฟ่นักร้อง แต่เขาหมายถึงยี่ห้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ซิงเกอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของตึกต่างหาก)
วันนั้นฉันมีเวลาไม่มากที่จะนั่งอ้อยอิ่งในคาเฟ่ ก็เลยไปซื้อกาแฟร้อนใน Starbuck เดินจิบดีกว่า ได้ถือแก้วร้อนท่ามกลางอากาศหนาว มันอุ่นมือดีด้วย แถมเขายังเขียนชื่อเราให้เป็นภาษารัสเซียบนแก้ว เก๋ไปอีก
ซอยนี้อยู่ใกล้ๆ สะพานข้ามคลองเล็กๆ ส่วนใหญ่ขายเสื้อหนาว ผ้าพันคอ หมวก และงานแฮนด์เมดต่างๆ ที่ทำมาจากผ้า ราคาอ่วมมาก >.<
ตรงปลายสุดถนน Nevsky ที่ติดกับแม่น้ำเนวา คือที่ตั้งของพระราชวังฤดูหนาว หรือ Hermitage Museum อาคารสามชั้นขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระนางอลิซาเบธ แต่ที่นี่สร้างเสร็จในปี 1762 ซึ่งพระนางสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน จึงใช้เป็นที่ประทับของพระนางแคเธอรีนที่ 2 (มหาราชินี)
การเซลฟี่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระราชวังกว้างขวางมากกกก ทอดตัวยาวแบบว่า ต้องใช้โหมดพาโนรามาเท่านั้น และลานหน้าพระราชวังที่เรากำลังยืนอยู่นี้ก็เคยใช้เป็นสถานที่ปฏิวัติรัสเซียเมื่อ 100 ปีที่แล้ว
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ฉันมาเที่ยวพระราชวังฤดูหนาวในวันพฤหัสบดีแรกของเดือน ซึ่งเป็นวันเดียวของแต่ละเดือนที่เขาจะเปิดให้คนทั่วไปได้เข้าฟรี คนก็เลยต่อแถวยาวมากกกก ยาวออกมานอกวัง ข้อดีก็คือเราไม่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่ข้อเสียก็คือยืนรอแถววนไปค่ะ สิริรวม 2 ชั่วโมงที่ยืนกางร่มตากฝนอยู่ข้างนอก
แต่สุดท้ายเราก็ได้เข้ามาด้านใน จุดแรกคือบันไดโอ่โถง วิจิตรตระการตา ก่อนเชื่อมต่อไปยังห้องต่างๆ ที่จัดแสดงของสะสมและสมบัติล้ำค่าของพระนางแคเธอรีนที่ 2 (มหาราชินี) มีผลงานศิลปะมากมายทั้งภาพวาด สคัลป์เจอร์ หนึ่งในชิ้นไฮไลท์ก็คืองานของลีโอนาร์โด ดาวินชี แต่เอาจริงๆ เราไม่สามารถเดินชมได้ทั้งหมด มันเมื่อยขามากค่ะ เพราะมีงานศิลปะทั้งหมดจริงๆ กว่า 2,700,000 ชิ้น
ว่ากันว่าต้องใช้เวลากว่า 5 ปีถึงจะเดินดูได้ครบ
ความพิเศษสำหรับคนไทยก็คือ ห้องหนึ่งในพระราชวังฤดูหนาวแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ (พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5) ในช่วงที่ไปทรงศึกษาวิชาการทหารที่รัสเซีย โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงให้การอุปถัมภ์ค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนทั้งหมดและทรงดูแลอย่างอบอุ่นเหมือนลูกหลาน ด้วยความที่พระองค์ทรงสนิทสนมกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ของเราเป็นอย่างมาก
ขากลับฉันเดินออกมาด้านนอกพระราชวัง ก็เจอเข้ากับเจ้านี่ มันดูนุ่มน่าฟัดมาก
นี่ไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นเจ้ามหาดเล็กมีหางที่มีประวัติเรื่องเล่าเกี่ยวพันกับพระราชวังฤดูหนาวและเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอย่างน่าสนใจ
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช พระองค์ทรงนำแมวมาจากฮอลแลนด์ เพื่อมาทรงเลี้ยงดูอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ ให้พวกมันช่วยจับหนูที่มากัดแทะงานศิลปะ เกิดเป็นกระแสคนรักแมวไปทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ประชาชนธรรมดาก็ด้วย เขาบอกว่าคนรัสเซียที่เห็นหน้าบึ้งๆ นี่ ถ้าเห็นแมวเดินมา หน้าตาจะเปลี่ยนเป็นร่าเริงในทันที
แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้ถูกปิดล้อมถึงกว่า 3 ปี และได้รับผลกระทบจากสงคราม ส่งผลให้แมวหลายตัวล้มตายจากความอดอยากไปจนแทบไม่เหลือ พอสงครามสงบ จึงมีการนำแมวกว่า 5,000 ตัวเข้ามาที่เมืองนี้อีกครั้ง และส่วนหนึ่งก็นำกลับเข้ามาเลี้ยงในพระราชวังเหมือนเดิม
องครักษ์พิทักษ์วังถูกเลี้ยงอยู่ในชั้นใต้ดินของพระราชวัง แต่ถ้าโชคดี คุณก็อาจได้เจอพวกมันออกมาเดินเล่นที่สวนด้านนอกแบบนี้
นี่เอง เป็นเหตุผลที่เราเห็นรูปวาดและรูปปั้นแมวอยู่มากมายในพระราชวัง แม้แต่ในร้านขายของที่ระลึกของมิวเซียมก็มีหนังสือเกี่ยวกับเจ้าเหมียวพวกนี้ด้วย
มาต่อกันที่สถานที่สำคัญอีกแห่ง ที่นี่คือโบสถ์หยดเลือด (Church of the Savior on Spilled Blood) มีประวัติที่น่าสนใจมาก เพราะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่มีผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ผู้ทรงประกาศเลิกทาส แต่กลับส่งผลให้ชาวนามีความเป็นอยู่ที่ยากแค้นขึ้น เลยมีคนส่งหญิงชาวนาติดระเบิดพลีชีฟวิ่งเข้ามาหาในตรงจุดที่พระองค์เสด็จผ่าน ต่อมาจึงมีการสร้างโบสถ์แห่งนี้ครอบไว้ตรงจุดเกิดเหตุ เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2
ส่วนที่นี่ เป็นสถานที่ดีต่อใจสำหรับคนที่ชอบศิลปะการแสดง เพราะเป็นโรงละคโอเปราและบัลเลต์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชื่อว่า มาริอินสกี้ (Mariinsky Theatre) สร้างตั้งแต่ปี 1860 เคยใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงรอบพรีเมียร์บัลเลต์ชื่อดังของไชคอฟสกี้อย่าง Swan Lake
ด้านในสวยตระการตา ดูคลาสสิกมาก และที่น่ารักก็คือ เก้าอี้ชั้นล่างสุดยังเป็นเก้าอี้ไม้อยู่เลย สามารถยกออกและปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่การแสดงได้
สุดท้าย สถานที่สำคัญอีกแห่งที่ไม่มาไม่ได้เลย วิหารนักบุญไอแซ็ก (St. Isaac Cathedral) เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและมีการตกแต่งอลังการมากที่สุด ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ปี 1818 -1858
ที่เห็นยอดโดมตรงนั้น ฉาบด้วยทองคำแท้ 100 กิโลกรัม ส่วนภายในใช้หินอ่อน และหินอื่นๆ ถึงประมาณ 40 กว่าชนิด เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช และพระนางแคเธอรีน
ถ้าหากได้มีโอกาสขึ้นไปด้านบนวิหารแล้วมองลงมา ก็จะเห็นวิวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแบบ 360 องศา เขาบอกกันว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ที่ด้านหน้าวิหารจะมีรถสีแดงแบบนี้จอดอยู่ เป็นรถที่จะพาเราทัวร์ชมสถานที่สำคัญรอบเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อยแต่ต้องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของรัสเซียในเวลาอันจำกัด เขามีหลายโปรแกรมให้เลือก ทั้งแบบครึ่งวัน หรือทั้งวัน รวมไปถึงแบบ hop in hop off ที่ให้เราสามารถขึ้นหรือลงกี่ครั้งก็ได้ตามจำนวนวันที่เลือกซื้อ
ส่วนนี่คือบรรยากาศความเพลิดเพลินของการเดินเล่นดูวิถีชีวิตในเมือง
สำหรับฉัน เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเดินเที่ยวไม่ยากเพราะมีการวางผังเมืองไว้ดีมาก สถานที่สำคัญหลายจุดก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกัน แถมยังมีรถไฟใต้ดินเข้าถึงในจุดสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น คนรัสเซียใจดีมาก พวกเขาพร้อมจะช่วยเหลือนักท่องเที่ยว แม้ว่าบางคนอาจจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้และอาจจะดูหน้าบึ้งไปหน่อย แต่ข้างในจิตใจดีงามและมีความเฟรนด์ลี่เป็นเลิศ
จบทริปนี้เลยได้เรียนรู้ภาษารัสเซียมาคำหนึ่ง เอาไว้ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ นั่นก็คือ “สปาซีบรา” แปลว่าขอบคุณ (จำง่ายๆ ว่าสปาม้าลาย >> ก็ zebra งาย)
Travel Tips
- Winter Palace (Hermitage Museum) ลงสถานี Nevsky Prospekt เปิดให้เข้าชม 10.30-18.00น. (และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมฟรีทุกๆ วันพฤหัสบดีแรกของเดือน)
- โบสถ์หยดเลือด (The Church of Savior on the Spilled Blood) ลงสถานี Nevsky Prospekt หรือ Gostiny Dvor เปิดให้เข้าชม 10.30-18.00น.
- วิหาร St. Isaac Cathedral ลงสถานี Admiralteyskaya เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันพุธ) ตั้งแต่เวลา 10.30-18.00น.
- มารัสเซียทั้งที ควรหาโอกาสไปชมคอนเสิร์ตหรือบัลเลต์สักเรื่องที่โรงละครมาริอินสกี้ สามารถเข้าไปเช็คตารางคอนเสิร์ตและการแสดงได้ที่ https://www.mariinsky.ru/en/