ทริปการเดินทางจากกรุงเทพฯไปเที่ยวอุดรธานีครั้งนี้ เป็นการเดินทางในรูปแบบที่เราไม่คุ้นเคย เนื่องจากอยู่ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2020 ที่แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ในประเทศไทยจะบรรเทาลงบ้างแล้ว แต่ทั่วโลกก็ยังเผชิญปัญหาอยู่และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นการท่องเที่ยวเมืองไทยในรูปแบบวิถีใหม่หรือ #NewNormal จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เรามาดูกันว่าจังหวัดชายแดนอย่างอุดรธานีที่ใครหลายคนมักใช้เป็นทางผ่านเพื่อนั่งรถออกไปยังสปป.ลาว ที่จริงแล้วก็มีความสวยงามอยู่ไม่น้อย
Highlight เที่ยวอุดร
ที่เที่ยว
–ทะเลบัวแดง บึงหนองหาน กุมภวาปี: นั่งเรือชมทุ่งดอกบัว ฝูงนก และฝูงควาย (เรือเล็กนั่งได้ 2 คน ลำละ 300 บาท)
–ศาลเจ้าปู่ย่า: ศาลเจ้าของชาวจีนขนาดใหญ่โตที่ใครๆ พากันไปสักการะ ก่อนเดินเล่นในสวนแบบจีนและนั่งจิบชาหอมๆ
–อุทยานแห่งชาติภูฝอยลม: พื้นที่ภูเขาสูงในเขตป่าสงวน เหมาะแก่การไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เดินดูดอกไม้ และชมพระอาทิตย์ตกดิน
ที่พัก
–Brown House by Blu Monkey Hotel: ที่พักเรียบง่ายกลิ่นอายอีสานแบบบูทีค เป็นหนึ่งใน Safe Stay Hotel โรงแรมที่ Trip.com คัดมาว่ามีความปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ ในโรงแรมมีจุดคัดกรอง มีเจลแอลกฮอล พนักงานก็สวมหน้ากากอนามัยและ Face shield โดยทำความสะอาดห้องพักและส่วนกลางอยู่เสมอ อ่านรีวิวได้ที่ Brown House Hotel ที่พักสไตล์อีสานโมเดิร์นใจกลางเมืองอุดร
>> ทางไปจอง https://bit.ly/3daolwv
ที่กิน
–คาเฟ่บ้านนา: จิบกาแฟ ทานเค้ก ในบรรยากาศโรงฟาร์ม
–เอมโอช: ร้านไข่กระทะเจ้าแรกของอุดรฯ ที่ขายมากว่า 50 ปี
–ครัวคุณนิด: ร้านอาหารอีสานที่เป็น the best ของอุดรฯ
เราเริ่มต้นการเดินทางแต่เช้าตรู่กับสายการบิน Vietjet air ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่เปิดให้บริการเส้นทางในประเทศแล้วช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2020 บรรยากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิแปลกตาไปมากๆ เราเห็นลานจอดเครื่องบินเต็มไปด้วยเครื่องบินเรียงรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่จุดจอดรถส่งผู้โดยสารขาออกชั้น 4 ที่ปกติจะเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น วันนั้นก็มีรถของเราแค่คันเดียว แถมเขาเปิดให้เดินเข้าตัวอาคารได้แค่บางประตูเท่านั้น เพื่อผ่านจุดคัดกรอง
หลังจากผ่านจุดวัดไข้แล้ว เราทำการเช็คอินที่เคาน์เตอร์ของเวียดเจ็ท ซึ่งเพิ่มการลงทะเบียนผ่าน QR Code กรอกประวัติการเดินทาง 14 วันก่อนหน้า และจุดหมายที่เรากำลังจะเดินทางไป ที่เคาน์เตอร์มีแปะสติกเกอร์สีแดงที่พื้น เพื่อให้ผู้โดยสารในคิวยืนเว้นระยะห่างกัน รวมถึงพนักงานเองก็สวมหน้ากากอนามัยด้วย
ได้เห็นภาพก้อนเมฆบนฟ้าอีกครั้งหลังจากกักตัวมาร่วม 2 เดือน มันเป็นอะไรที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าบรรยากาศบนเครื่องบินคราวนี้จะอึมครึม เพราะมีจำนวนผู้โดยสารไม่มาก และทุกคนก็นั่งเว้นระยะห่างจากกัน โดยจะนั่งได้เฉพาะแถวริมหน้าต่างและริมทางเดินเท่านั้น ไม่มีการเสิร์ฟน้ำและอาหารบนเครื่อง เพื่อป้องกันการปนเปื้อน และเวลาผู้โดยสารจะลงจากเครื่อง เขาก็จะให้แถวที่นั่งติดริมทางเดินลงก่อน
ข้อดีของการเช่ารถเที่ยวก็คือ นอกจากจะได้ความเป็นส่วนตัว ตอบโจทย์ Social distancing และลดความกังวลเรื่องเชื้อโรคแล้ว เราก็ยังมีอิสระที่จะซอกแซกไปตรงจุดไหนก็ได้ที่เราอยากไป แถมตอนนี้ SIXT ก็ยังมีโปรโมชั่นให้เช่ารถในราคาที่ถูกมากๆ และมีเคาน์เตอร์จองรถอยู่ภายในสนามบินอุดรฯเลย แน่นอนว่ารถก็มีทำความสะอาด พ่นฆ่าเชื้อภายในห้องโดยสาร พนักงานก็สวมใส่หน้ากากอนามัยและ Face Shield นำรถ Mitsubishi Xpander 1.5 GT 7 ที่นั่งโฉมใหม่ มาจอดให้เราถึงหน้าประตูทางออกอาคารผู้โดยสารเลยทีเดียว
รถค่อนข้างสูง ทำให้ทัศนวิสัยในการขับดี แต่ก็ขับง่ายสุดๆ และด้านในรถก็กว้างขวางมากกว่าที่เราคิด ด้านหลังวางกระเป๋าเดินทางและสิ่งของต่างๆ ได้เยอะ ส่วนด้านหน้าก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งช่องเสียบสาย USB ชาร์จแบตมือถือ รวมถึงเครื่องเสียงที่เชื่อมต่อไร้สายบลูทูธได้ ให้เราฟังเพลงใน playlist โปรด ขณะขับรถทางไกลได้ไม่มีเบื่อ หรือจะเชื่อมต่อ Google map เข้าหน้าจอ ก็ทำได้อีกเช่นกัน แต่ที่เราชอบก็คือรถรุ่นนี้วิ่งทางไกลประหยัดน้ำมันมากกกกกกก ทริปนี้ 3 วัน เราใช้น้ำมันไปครึ่งถังเองค่ะ
ตอนนี้ SIXT มีโปรโมชั่น เช่ารถรุ่น 1.2 CC ที่อุดรฯ เริ่มต้นที่ 399 บาทต่อวันเท่านั้น (ไม่รวมประกันภัยชั้น 1) จองรถทั่วไปได้ที่ SIXT ประเทศไทย Call Center โทร 1798 หรือ www.sixtthailand.com
สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองอุดรฯ
สถานที่เที่ยวที่แรกของเรานั้นอยู่ใกล้ที่พัก Brown House Hotel แบบขับรถ 2 นาทีถึง นั่นก็คือศาลเจ้าปู่ย่า ที่หลายคนมาอุดรก็ต้องแวะมาสักการะ เป็นศาลเจ้าจีนที่เป็นเหมือนศูนย์วัฒนธรรมไทย-จีน มีอาคารพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องคนไทยเชื้อสายจีนในอุดร แล้วก็จัดสวนแบบจีนที่มีไม้มงคล มีสระบัว แล้วก็บ่อปลาคาร์ฟ รวมไปถึงร้านชาเล็กๆ ให้เรานั่งจิบแก้กระหาย
มื้อแรกของเราในอุดรฯ แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารอีสาน และร้าน ‘ครัวคุณนิด’ ก็เป็นร้านอาหารอีสานขึ้นชื่อในอุดร ทั้งส้มตำ ลาบ น้ำตก คอหมูย่าง และต้มแซ่บต่างๆ บอกเลยว่าเต็มสิบไม่หัก
ครัวคุณนิด ตั้งอยู่ที่ซอยวัดป่าโนนนิเวศน์ ไม่ไกลจากสนามบินอุดร โทร 042-246-128 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 หยุดทุกวันที่ 20 ของเดือน
ในช่วงเย็น สถานที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจแบบไม่เหนื่อยเกินไป แถมได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่น นั่นก็คือ หนองประจักษ์ สวนสาธารณะที่ชาวอุดรชอบมาวิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน กันรอบๆ บึงแห่งนี้
อันที่จริง ที่หนองประจักษ์เขามีแลนด์มาร์กสำคัญเป็นครอบครัวเป็ดเหลืองเป่าลมขนาดใหญ่ (ประมาณ 8 เมตร) ที่ลอยอยู่ในน้ำ แต่ช่วงที่เราไป เขาได้ยกเป็ดออกไปเนื่องจากอยู่ในช่วงมีโรคระบาด ก็แอบเสียใจเบาๆ แต่ก็ได้เห็นจักรยานเป็ดสำหรับถีบเล่นในน้ำแทน หน้าตาเหมือนกัน ก่อนจะเดินไปดูอาคารพิพิธภัณฑ์สถาน อุดรธานี ซึ่งข้างในเป็นศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เมืองอุดรฯ แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย นำเสนอผ่านสื่อมัลติมีเดีย และสื่ออื่นๆ อย่างน่าสนใจ
ผ่อนคลายกับธรรมชาติสวยๆ ที่กุมภวาปีและคาเฟ่บ้านนา
ไฮไลท์ของการมาอุดรฯ ครั้งนี้ของเรา ก็คือทะเลบัวแดง ที่บึงหนองหาน กุมภวาปีนี่แหละค่ะ ที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์มากๆ เป็นแหล่งชมทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีนกสายพันธุ์ท้องถิ่น มีปลาน้ำจืดหลายชนิด แล้วก็มีบัวงอกงามทั่วท้องน้ำไปไกล สุดลูกหูลูกตานับเป็นหมื่นๆ ไร่
การมาดูดอกบัว ถ้าจะเอาช่วง high season ที่บัวบานสะพรั่งก็ต้องเป็นช่วงฤดูหนาว เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี บัวจะบานอัดแน่นเต็มท้องน้ำแทบมองไม่เห็นที่ว่าง แต่สำหรับช่วงหน้าฝนที่เราไปเยือน ถือว่าเป็นหน้าโลว์แล้ว แต่ก็ยังมีบัวให้ดูมากมายอยู่ดี สำหรับเราซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ เห็นแต่ตึกกับคอนกรีต แถมกักตัวอยู่บ้านมา 2 เดือน การมานั่งเรือให้สายลมเย็นปะทะหน้า แล้วก็มีนกบินผ่านไปมา มีดอกบัวสวยๆ บานอยู่รอบตัว รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย
เวลาที่เหมาะสมกับการมาดูบัวคือช่วงเช้า ตั้งแต่ 5.30น. ไปจนถึง 11.00น. บัวก็เริ่มหุบ ยิ่งถ้าใครมาช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นได้ทันแล้ว ก็จะยิ่งงดงามขึ้นไปอีก การนั่งเรือใช้เวลาประมาณ 40 นาที มีเรือหลายประเภทให้เลือก อย่างเรือที่เรานั่งเป็นเรือเล็ก นั่งได้ 2-3 คน เหมาลำอยู่ที่ราคา 300 บาทเท่านั้น และระหว่างนั่งเรือไป เราก็ไม่ได้เห็นแค่ดอกบัวสีแดงอร่ามเท่านั้น แต่ยังมีนกกระสา นกกระยาง ออกหากิน แล้วก็มีวิถีชีวิตชาวบ้านเดียมที่ยังคงลอยเรือออกไปทำนา หาปลา ตัดอ้อย ใครอยากมาเห็นภาพสวยๆ แบบนี้ก็ต้องรีบตื่นเช้าๆ หน่อย เพราะขับรถจากตัวเมืองอุดรฯ มาที่นี่ ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าใครกลัวไม่ทัน ก็หาเช่าโฮมสเตย์เอาแถวนี้พักสักคืนก็ได้
หลังจากชมดอกบัวจนอิ่มใจ เรากลับเข้าเมืองมาทานอาหารเช้าแบบโลคอลๆ ที่เอมโอช ร้านไข่กระทะเจ้าแรกของอุดร ร้านนี้เปิดเป็นตึกแถว ไม่มีแอร์ แต่ว่ามีลมพัดเย็นสบาย อากาศไหลเวียนถ่ายเทดี เหมาะแก่การมานั่งทานเบรกฟาสต์แล้วก็ดูวิถีผู้คนในเมืองเดินผ่านไปมา
เมนูที่นี่มีทั้งข้าวต้มซี่โครงหมู ขนมปัง ไข่กระทะ ทานกับนมสดหรือโอวัลติน โกโก้ กาแฟ ก็คือดีงามไปหมด ความพิเศษคือเขาขายมานานกว่า 50 ปี สูตรอาหารตกทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณยายซึ่งเคยทำงานกับชาวฝรั่งเศส สูตรดั้งเดิมเมนูไข่กระทะต้องใช้ไข่ไก่สดทอดกับเนย ใส่กุนเชียงและหมูยอเท่านั้น
ร้านเอมโอช ตั้งอยู่ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ใจกลางเมืองอุดร เปิดบริการทุกวัน คนจะมากันเยอะช่วง 7 โมงเช้า ปิด 12.00น. โทร 042-223-992
ตกบ่าย อยากหาขนมอร่อยๆ ทาน ก็ต้องไปที่คาเฟ่บ้านนา ซึ่งมีพื้นที่เป็นทุ่งนาด้านใน และออกแบบส่วนที่นั่งทานกาแฟให้เป็นเหมือนโรงฟาร์มสีขาว หลังคาสูงโปร่ง เป็นโอเพ่นแอร์ แต่สำหรับบางคนที่ชอบแบบเอาท์ดอร์ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น เขาก็มีการจัดโต๊ะแยกกันห่างๆ อย่างเป็นส่วนตัว อยู่ที่ด้านนอก
เจ้าของร้านเป็นคนที่หลงใหลการทำขนมมากๆ เริ่มแรกที่นี่ก็เป็นบ้านสวน ปลูกผัก ปลูกข้าว แล้วก็ทำสตูดิโอสอนทำขนม กระทั่งมีลูกค้าเยอะขึ้นจึงตัดสินใจเปิดเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ สำหรับโซนร้านอาหาร เราสามารถสั่งขนมเข้าไปทานได้ แต่โซนคาเฟ่จะไม่สามารถสั่งอาหารมาทานได้
จุดเด่นของขนมที่นี่ นอกจากจะมีให้เลือกเยอะมากๆๆๆ แล้ว ก็ยังเป็นสูตรที่ดีต่อสุขภาพด้วย เพราะเลือกใช้เนยแท้ วิปครีมแท้ หวานน้อย และไม่มีไขมันทราน เมนูแนะนำก็ต้องเป็นเค้กมะพร้าวที่ขายดีสุดๆ ต่อด้วยทาร์ตผลไม้รวม ทาร์ตเบอร์รี่ ทาร์ตส้มยูซุ เป็นต้น สั่งมาทานกับชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มพวกโซดาก็สดชื่นไม่น้อย
บ้านนาคาเฟ่ เปิดบริการ : ทุกวัน เวลา 9.00-18.30 น. (หยุดวันพุธแรกและวันพุธที่สามของเดือน) ราคา : 55-195 บาท โทร 095-426-4624
ดูพระอาทิตย์ตกดินและสูดอากาศบริสุทธิ์จากภูเขาสูง
ช่วงเย็นเรามีแพลนมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่อุทยานแห่งชาติภูฝอยลม พื้นที่ภูเขาสูง อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติพันดอน-ปะโค สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร จึงมีอากาศบริสุทธิ์มาก โดยชื่อ ‘ภูฝอยลม’ นั้นมาจากพืชที่ชื่อฝอยลม ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามกิ่งของต้นไม้ใหญ่ กระจายอยู่เต็มพื้นที่แห่งนี้ และพืชชนิดนี้เองที่เป็นเครื่องมือวัดความบริสุทธิ์ของอากาศได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมันจะขึ้นเฉพาะในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น
การขับรถจากตัวเมืองอุดรไปภูฝอยลมใช้เวลาประมาณเกือบๆ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางวิวสวยมากๆ เราแนะนำเลยว่าเป็นถนนอีกเส้นที่แนะนำสำหรับคนชอบขับรถ เพราะผ่านทั้งทุ่งนาสีเขียว ป่ายาง อุโมงค์ต้นไม้ จนมาขึ้นภูเขาซึ่งอาจจะเป็นถนนที่แคบลง แต่ก็ไม่ได้ขับยากอะไร
ผู้คนนิยมมาที่นี่กันในช่วงฤดูหนาว เพื่อมาดูดอกไม้นานาชนิด หรือบางทีก็มากางเต็นท์นอนกันที่นี่เลย และจากจุชมวิวของที่นี่ เราสามารถมองเห็นชุมชนเมืองของอุดรได้ด้วย ซึ่งเป็นวิว sunset ที่สวยงามมากๆ
ทริป 3 วันที่อุดรครั้งนี้ มาเร็วไปเร็วมากๆ ค่ะ นับเป็นการทดลองท่องเที่ยววิถีใหม่ที่อาจจะต้องพกแอลกฮอลมาถูมือตลอดเวลา หรือต้องสวมหน้ากากอนามัยไปทุกที่ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า อันที่จริง ต่อให้ไม่มีโรคระบาด การระวังเรื่องเชื้อโรคและดูแลสุขภาพให้ดี ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ดี เพราะการมีสุขภาพแข็งแรงก็ทำให้เราไม่เจ็บไม่ป่วยระหว่างการเดินทาง และนั่นก็ทำให้เราชื่นชมทุกอย่างรอบข้างได้แบบเต็มอิ่มมากขึ้น
ก่อนกลับบ้าน สนามบินอุดรเขามีตู้อบสัมภาระและสิ่งของให้ด้วย โดยเขาจะนำกระเป๋าเดินทางของทุกคนเข้าไปฆ่าเชื้อโรคก่อนที่จะเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร จากนั้นก็เช็คอินไทยชนะ และโบกมือลาเมืองอีสานแห่งนี้
การเดินทาง
–สายการบิน Vietjet Air จองได้ที่ www.vietjetair.com
–รถเช่า Sixt ซึ่งมีเคาน์เตอร์บริการอยู่ภายในสนามบินอุดรฯ ทำความสะอาดตัวรถ พร้อมพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในห้องโดยสาร จองได้ที่ www.sixtthailand.com หรือโทร 1798