ความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของมัณฑะเลย์ดึงดูดเราให้มาที่นี่
อันที่จริงปักหมุดเอาไว้นานมากแล้ว แค่เห็นภาพตามหนังสือก็รู้สึกว่าที่นี่ยังมีความดิบและน่าค้นหา ยิ่งได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังในความเป็นเมืองหลวงเก่า ราชวงศ์สุดท้ายของพม่าล่มสลายลงที่นี่ ยิ่งรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาเยือน
เราคงเหมือนคนทั่วไปที่รู้จักมัณฑะเลย์จากหนังสือ ‘พม่าเสียเมือง’ ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และละครเรื่อง ‘เพลิงพระนาง’ ที่ดูครั้งแรกตอนเด็กๆ และมาดูอีกครั้งเมื่อปีที่เพิ่งผ่านมานี้
ย้อนกลับไปในเรื่องราวตอนนั้นคงขนลุกเหมือนกันที่ราชินีองค์สุดท้ายของพม่าเคยมีการสั่งฆ่าคนเป็นพัน ใครก็ตามที่ขัดขวางอำนาจของพระนาง ถูกจับไปฆ่าแบบสิ้นซาก สิ้นตระกูล โดยเฉพาะในคืนที่มีการจัดงานเฉลิมฉลอง มหรสพถูกจัดขึ้นเพื่อกลบเสียงโหยหวนของผู้คนนับร้อยที่ถูกนำไปฆ่าและฝังลงในพื้นดินภายในพระราชวัง จนกระทั่งส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ดินที่ฝังร่างไร้วิญญาณเอาไว้ วันหนึ่งก็อืดพองขึ้นมา เอาช้างมาเหยียบก็ไม่ลง สุดท้ายต้องขุดขึ้นมาแล้วแบกศพเอาไปทิ้งที่แม่น้ำอิรวดี
อาจจะบอกว่าความขึ้หึง ความโหดร้าย และความหลงใหลในอำนาจของพระนางศุภยาลัต ราชินีองค์สุดท้ายของพม่า เป็นที่มาของความล่มสลายของราชวงศ์ ทำให้พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษก็ไม่ผิดนัก แต่นั่นกลายเป็นเรื่องราวที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่งของประวัติศาสตร์ เอาเป็นว่าใครอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ลองไปหาอ่านดู ตอนนี้เรามาตามรอยประวัติศาสตร์ที่เมืองมัณฑะเลย์กันดีกว่า ว่าแม้เวลาจะผ่านมานานกว่าร้อยปีแล้ว มัณฑะเลย์ในวันนี้เป็นยังไง
ไฟลท์บินตรงจากกรุงเทพฯถึงมัณฑะเลย์ของ Air Asia ออกราวๆ เที่ยง เราจองทั้งไฟลท์และที่พักจากในเว็บของ Traveloka เลย วันนั้นเมฆแน่นขนัดมาก ปุกปุยจนน่าเอามือไปจับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเดินทางช่วงฤดูฝนรึเปล่า
แต่ถึงแม้กรุงเทพฯจะฝนตกหนักแค่ไหน คนมัณฑะเลย์เขาบอกว่าที่เมืองนี้กลับไม่ค่อยมีฝน ฉะนั้นสามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี อาจจะร้อนบ้างแต่แดดจัดก็ทำให้ถ่ายรูปสวยดี แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวปลายปี ที่นี่อากาศเย็น น่าเที่ยวมากๆ เลย
พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace)
แน่นอนว่าสถานที่แรกที่เราต้องมาให้ได้ ก็คือพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นพระราชวังไม้สักที่สวยงามที่สุดในเอเชียยุคนั้น แต่พระราชวังดั้งเดิมจริงๆ ถูกทำลายไปหมดแล้วจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือแต่ป้อมปราการและคูน้ำรอบพระราชวัง แต่พม่าก็ได้สร้างพระราชวังจำลองขึ้นใหม่บนฐานเดิม โดยอิงจากแผนที่ของอังกฤษ สร้างให้คล้ายเดิมมากที่สุด
ด้านหน้าทางขึ้นเป็นบันไดขนาดใหญ่ ปูทางขึ้นไปยังด้านบน ศาลาแรกที่เราขึ้นไปถึงจะมีภาพเก่าๆ ของกษัตริย์พม่าและราชวงศ์คนสำคัญจัดแสดงไว้ ก่อนจะเดินต่อไปยังด้านในที่แบ่งออกเป็นหลายๆ เรือน ส่วนใหญ่เป็นเรือนเปล่าๆ ไม่ได้จัดวางของใช้อะไรไว้ มีแค่เรือนหลังสำคัญๆ ที่จัดวางตั่งเตียงหรือรูปปั้นจำลองของพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัต แล้วก็เรือนที่ใช้เก็บสมบัติซึ่งจัดไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ
ด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บนสนามหญ้าสีเขียวสด บรรยากาศเงียบและวังเวงเบาๆ ขนาดเรามาในตอนกลางวันและมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาด้วยหลายคน ก็ยังรู้สึกแบบนั้น
————————————–
วัดชเวนันดอว์ หรือพระราชมณเฑียรทอง (Golden Palace Monastry)
ถัดออกมานอกพระราชวังมัณฑะเลย์ จะเห็นวัดไม้เก่าแก่แกะสลักลวดลายวิจิตรงดงามและละเอียดมาก ที่นี่คือพระตำหนักเก่าของพระเจ้ามินดง พระราชบิดาของพระเจ้าธีบอ เป็นวัดที่เคยอยู่ในพระราชวังมาก่อน แต่พระเจ้ามินดงได้ทรงโปรดให้ย้ายออกมาด้านนอก จึงรอดพ้นจากภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก
ภาพด้านหน้าวัดดูคุ้นๆ ตา เรารู้สึกว่าวัดทางเหนือของไทยหลายๆ แห่งก็ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบนี้ไป จุดเด่นคือหลังคาที่สร้างคล้ายกับปราสาท 5 ชั้น วัดทั้งวัดทำจากไม้สักทองและใช้ทองคำปิดตัววัดทั้งหลัง
————————————–
วัดกุโสดอว์ (Kuthodaw Pagoda)
วัดแห่งนี้เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 ในพม่า โดยในสมัยพระเจ้ามินดงได้โปรดให้มีการจารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น เมื่อเดินเข้าไปจะเห็นทั้งวัดเป็นสีขาวไปหมด
ตรงทางเข้าวัด มีแม่ค้าขายดอกไม้ แล้วก็ปะแป้งทานาคาให้ด้วย
————————————–
Mandalay Hill
ถ้าหากอยากชมวิวเมืองของมัณฑะเลย์แบบพาโนรามา หนึ่งในที่ที่เหมาะมากที่สุดก็คือ Mandalay Hill อยู่ไม่ไกลจากตรงโซนพระราชวังและวัดเท่าไร
ด้านบนนี้ ทางเป็นภูเขาคดเคี้ยวพอตัว ถ้าหากไม่ได้เช่ารถ วิธีที่สะดวกที่สุดก็คือการซื้อทัวร์แบบครึ่งวันของ Traveloka สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะเอาหรือไม่เอาไกด์ อย่างเราเลือกแบบไม่มีไกด์ ราคาประมาณ 260 บาทเท่านั้น รถจะพาเราขึ้นไปจอดที่ด้านบน จากตรงนั้นเราต้องขึ้นบันไดเลื่อนไป 5 ชั้น เพื่อไปพบกับวัดสีเหลืองทองอร่าม เป็นวัดที่พระเจ้ามินดงทรงพระสุบินเห็นที่นี่บ่อย เขาเลยเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่นี่
ภายในวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รอบๆ วัดมีที่ให้ตีระฆังเยอะมาก แล้วก็มีที่สรงน้ำพระด้วย
ระเบียงด้านบนกว้างขวางมาก ไม่ว่าเดินไปตรงไหนก็มองลงไปเห็นวิวในด้านที่ต่างๆ กันไป ทั้งฝั่งที่เป็นเมือง เห็นบ้านคน เห็นรถยนต์วิ่งผ่านไปมา และอีกฝั่งก็เป็นไร่นา เห็นแต่สีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตาไปหมด ด้านบนนี้ลมแรงมาก เดินตัวแทบปลิวเลย
————————————–
มิงกุน (Mingun)
ออกไปนอกเมืองมัณฑะเลย์ก็ยังมีที่เที่ยวอีก เหมาะสำหรับคนที่ชอบความดิบของพม่าจริงๆ เพราะคนที่นั่นยังใช้ชีวิตกันแบบดั้งเดิมมากๆ บางคนขี่เกวียน บางคนกำลังพาวัวควายเดินกินหญ้า และที่สำคัญถนนยังไม่ค่อยดีเท่าไร ฝุ่นเยอะ ทางก็เป็นลูกรัง เป็นหลุมเป็นบ่อ และหลายจุดก็เป็นเนินเขาสูงๆ ถ้าหากไม่อยากเมารถแต่ต้องการไปเที่ยวมิงกุน แนะนำให้นั่งเรือข้ามไปก็ได้ เพราะที่จริงมิงกุนอยู่ตรงข้ามตัวเมืองมัณฑะเลย์ ถูกกั้นด้วยแม่น้ำอิรวดี
จุดท่องเที่ยวหลักๆ ในเมืองนี้ คือ เจดีย์มิงกุน (เจดีย์ที่สร้างในสมัยพระเจ้าปดุงแต่ยังสร้างไม่เสร็จ เหลือไว้แต่เพียงร่องรอยความยิ่งใหญ่), ระฆังมิงกุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก (เป็นรองก็แค่ระฆังที่พระราชวังเครมลินที่รัสเซียเพียงใบเดียว แต่ปัจจุบันระฆังที่รัสเซียก็ใช้การไม่ได้แล้ว ขณะที่ของมิงกุนยังคงตีดังกังวานอยู่) ซึ่งเขาเล่ากันว่าพระเจ้าปดุงก็ไม่ต้องการให้ใครมาสร้างระฆังเลียนแบบ จึงสั่งให้ประหารช่างที่ทำระฆังทันทีหลังจากสร้างเสร็จ และอีกแห่งก็คือ เจดีย์ชินพิวเม เรียกกันว่าเป็นทัชมาฮาลของพม่า เพราะเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบากะยีดอว์ (พระราชนัดดาในพระเจ้าปะดุง) ที่มีต่อพระมหาเทวีชินพิวมิน และเจดีย์องค์นี้ก็เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาล ได้แรงบันดาลใจจากเขาพระสุเมรุที่เชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางจักรวาล
————————————–
สะพานไม้อูเบ็ง (U Bein Bridge)
พอเห็นครั้งแรก เรานึกถึงสะพานไม้ที่สังขละบุรี มันมีความคล้ายกันอยู่ แต่จะบอกว่าที่นี่เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก สร้างมาจากไม้สักที่เหลือจากการรื้อพระราชวังเก่าที่กรุงอังวะ
สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองอมรปุระ ซึ่งตอนที่มีการย้ายเมืองหลวงจากอังวะมาเป็นที่นี่ เขาก็ได้นำไม้สัก 1,086 ต้นมาด้วย ความสวยของที่นี่ก็คือตอนพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เห็นเป็นเงาสะท้อนในทะเลสาบสวยงามมาก
สำหรับเดือนที่น้ำจะขึ้นปริ่มเต็มที่สุดก็คือ กรกฎาคม – สิงหาคม นักท่องเที่ยวจะชอบมาล่องเรือ หรือไม่ก็เดินถ่ายรูปเล่นบนสะพาน และก็จะเห็นคนพม่าทาแป้งทานาคาเดินสวนไปมา เราว่ามันเป็นภาพที่มีเสน่ห์มาก
—————————————–
สถานที่ต่างๆ ที่ว่ามานี่สามารถเที่ยวจบได้ใน 1 วัน แต่จริงๆ ก็ยังไม่ครบ มัณฑะเลย์ยังโด่งดังเรื่องพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี ที่เขาจะต้องตื่นเช้าไปดูกันตั้งแต่ตี 4 นอกจากนี้ก็ยังมีกรุงอังวะ เมืองหลวงเก่าอีกแห่งที่น่าไปสำรวจ หลายๆ คนจะชอบไปนั่งรถม้าเที่ยววัดกันที่นั่น ปักหมุดไว้ก่อน คราวหลังมาใหม่จะไม่พลาด
สำหรับทริปนี้ ช่วงเวลาสั้นๆ ในเมืองมัณฑะเลย์ เหมือนเป็นแค่อินโทรที่พาเรามาสัมผัสความรู้สึกและบรรยากาศของมัณฑะเลย์แบบเรียลๆ ที่นี่วุ่นวายน้อยกว่าย่างกุ้งเยอะมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักพม่าดีขึ้นก็คือ พม่าเป็นประเทศที่เปลี่ยนเมืองหลวงบ่อยมาก เอาง่ายๆ ทริปนี้แค่ทริปเดียวก็ได้ไปเมืองหลวงเก่าตั้งหลายที่ ทั้งมัณฑะเลย์ อมรปุระ และยังไม่นับอังวะที่นั่งรถผ่าน
ความคิดความอ่านของคนพม่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีเรื่องให้เราต้องขบคิดเยอะเลยทีเดียว ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันอย่างการที่เน็ต Wifi โรงแรมช้ากว่า 3G หรือการที่คนพม่ายังเคร่งพุทธศาสนาอยู่มาก ไปจนถึงการตัดสินใจฆ่าคนได้ง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ตื้นมาก ใครขัดขวางอำนาจ ฆ่า หรือขนาดคนสร้างระฆังก็ยังฆ่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือวัฒนธรรมที่กลายเป็นการหลอมรวมเมืองพม่าในปัจจุบันให้ยังคงมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้