เชื่อว่ามัลดีฟส์คือทะเลในฝันที่ไม่ว่าใครก็อยากเอาตัวไปจุ่มสักครั้ง น้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ที่ใสจนมองเห็นพื้นทรายด้านล่าง มีปลาหลากหลายสายพันธุ์แหวกว่ายไปมา และปะการังที่ยังอุดมสมบูรณ์แบบหาที่อื่นในโลกไม่ได้ เหล่านี้คือสิ่งที่ดึงดูดให้มัลดีฟส์กลายเป็น dream destination ของทุกคน
สำหรับเราก็ด้วย…
ความตั้งใจของเราในการมามัลดีฟส์ครั้งแรกในชีวิต ก็คือการนั่งซีเพลน (Seaplane) หรือเครื่องบินน้ำ แล้วก็ไปพักที่สวยๆ ที่ได้สัมผัสวิวธรรมชาติและท้องทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์จริงๆ ให้สมกับที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มามัลดีฟส์ แต่เคยรู้มาว่าถ้าจะเที่ยวแบบจัดเต็ม พักรีสอร์ต 5 ดาว อาจต้องใช้เงินเหยียบแสน ดังนั้นเพื่อไม่ให้งบบานปลายจนเกินไป เราก็ต้องหาทริคมาเป็นตัวช่วย นั่นก็คือ
- หาตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่น
- เที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น เพื่อให้ราคาที่พักถูกลง
- ดูที่พักที่มีแพ็กเกจรวมค่าอาหารและกิจกรรมบางอย่างไว้แล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายยิบย่อย
เราเลือกบิน Air Asia เพราะมีไฟลท์บินตรงกรุงเทพฯ-มัลดีฟส์ ที่ราคาดีต่อใจมากที่สุด ความสะดวกก็คือ สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ก่อนเดินทาง 14 วัน แนะนำให้ทำผ่านแอพฯ แล้วเซฟบาร์โค้ดเก็บไว้ในมือถือ พอถึงวันเดินทาง ถ้าหากไม่ได้โหลดกระเป๋าก็ไม่จำเป็นต้องไปต่อคิวที่เคาน์เตอร์เช็คอิน เชิญตรงไปที่ตู้ Kiosk ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อจัดการปรินท์ Boarding Pass ที่ตู้ได้เลย ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินมาเล่ (เมืองหลวงของมัลดีฟส์) กันแล้ว!
หลายคนชอบถามว่ามัลดีฟส์อยู่ประเทศอะไร จริงๆ แล้วมัลดีฟส์เป็นประเทศค่ะ อยู่ใกล้ๆ กับประเทศศรีลังกา บริเวณตอนเหนือของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเมื่อก่อนเป็นภูเขาไฟที่โดนน้ำทะเลซัดจนภูเขาจมลงทะเล จึงมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ทำให้ปะการังเจริญเติบโตได้ดี เกิดเป็นหมู่เกาะปะการังขนาดใหญ่เป็นหย่อมๆ แต่ละเกาะเรียกว่าอะทอลล์ (Atoll) มีทั้งหมด 26 อะทอลล์ โดยแต่ละอะทอลล์นี่กว่าจะเกิดขึ้นมาได้ใช้เวลานานถึง 30 ล้านปีเลยทีเดียว
อากาศที่นี่คล้ายๆ เมืองไทยค่ะ ร้อนๆ หน่อย แดดดีๆ แต่ก็ถ่ายรูปสวย ส่วนเวลาจะช้ากว่าที่เมืองไทยอยู่ 2 ชั่วโมง เราหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมาเจอเกาะซิรู เฟน ฟูชิ (Sirru Fen Fushi) อยู่ที่ Shaviyani Atoll ทางตอนเหนือของมัลดีฟส์
ว่ากันว่า…ที่นี่คือเกาะที่สวยที่สุด แล้วก็มีปะการังอุดมสมบูรณ์ที่สุดของมัลดีฟส์ด้วย
ชื่อเกาะ Sirru Fen Fushi มีความหมายว่า “Secret Water Island” ถ้าเปิดแผนที่ดูจะเห็นว่าเป็นเกาะท้ายๆ อยู่เกือบจะสุดขอบประเทศมัลดีฟส์แล้วค่ะ
นั่งซีเพลนจากสนามบินมาเล่ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ความไกลนี้ก็ให้ความรู้สึก Escape และความสงบ แบบออกไปอยู่กับธรรมชาติจริงๆ ถูกโอบล้อมอยู่กลางมหาสมุทรอินเดียเลยค่ะ ที่สำคัญเวลายังเร็วกว่าตัวเมืองมาเล่อยู่ 1 ชั่วโมง นั่นยิ่งตอกย้ำความห่างไกลและความ Escape ไปอีก
ที่พักบนเกาะนี้คือ Fairmont Maldives รีสอร์ต 5 ดาวที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ราว 5 เดือน เมื่อเครื่องบินลงที่สนามบินมาเล่แล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตมาถือป้ายรอรับเราเพื่อพาไปที่เลานจ์ รอเวลาขึ้นซีเพลน ในเลานจ์มีอาหารของว่างเครื่องดื่ม แล้วก็มีคอม มี wifi ให้เล่น
เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะมาตามเราไปขึ้นซีเพลน เป็นเครื่องบินเล็กๆ มีคนขับ 2 คน เวลา take off กับเวลาร่อนลงในน้ำตื่นเต้นดี แต่ไฮไลท์ก็คือการที่เราจะมองลงมาเห็นเกาะต่างๆ ของมัลดีฟส์ในมุมสูง เป็นวิวที่คนที่นั่งเรือสปีดโบ้ทจะไม่ได้เห็นเลย รู้สึกเหมือนเป็นนก
ห้องพักทุกห้องที่นี่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว เราเลือกพักแบบ Beach Villa หรือห้องพักที่ติดหาด ไม่ใช่แบบบังกะโลกลางน้ำ เหตุผลก็คือเราคิดว่าตื่นเช้ามาจะได้ออกไปเดินย่ำหาดทรายหน้าบ้านได้เลย แต่จริงๆ ไม่หรอกมันเป็นห้องพักที่ราคาถูกสุดของรีสอร์ทนี้ แล้วเราค่อยไปแวะถ่ายรูปเล่นตรงบังกะโลเฉยๆ ก็ได้ (แหะๆ)
เราชอบความรู้สึกตอนตื่นเช้าแล้วเห็นแสงแรกของวัน มันทำให้เราลืมความเหนื่อยจากการเดินทางไปเลย ยิ่งได้ออกไปเดินที่บีช ยิ่งรู้สึกดีมากๆ เจอเปลือกหอยที่ข้างในมีปูอาศัยอยู่ วิ่งกันอยู่เต็มหาดเลยค่ะ
กิจกรรมของเราเริ่มต้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ก็เปลี่ยนชุดเตรียม Snorkle เลย บนเกาะจะมี Water Sport Club และมีอุปกรณ์ทุกอย่างให้เรายืม
ถ้าเป็นพวกหน้ากากดำน้ำ เรือคายัก และแพดเดิลบอร์ด กระดานโต้คลื่นนี่ยืมได้ฟรี แต่ถ้าพวกที่ต้องมีมอเตอร์อย่างเจ็ตสกีอะไรต่างๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนิดหน่อย
จุดสำหรับดูปะการังก็คือตรงโซนที่เป็นบังกะโลกลางน้ำ (Water Villa) เราให้รถบักกี้ไปส่งตรงนั้นแล้วก็ออกสำรวจโลกใต้น้ำ
นอกจากปะการังสวยๆ แล้วก็ยังเจอนีโม (ปลาการ์ตูน) ปลากระเบน เต่าทะเลตัวใหญ่ แล้วก็ลูกฉลามตัวเล็กที่ว่ายหนีเราไปเร็วมาก
หลังจากนั้นก็ออกไปพายเรือคายัค ออกไปดูแกลเลอรี่กลางน้ำที่เขาเอาไว้โชว์งานศิลปะของทั้งศิลปินท้องถิ่นและศิลปินระดับโลก ถ้าใครสนใจจะดู ต้องดำลงไปใต้น้ำ
ที่ Fairmont Maldives ยังมีไฮไลท์อยู่ที่สระว่ายน้ำความยาว 200 เมตร ใครชอบว่ายน้ำต้องมาลองค่า จะรู้สึกถึงความไม่มีที่สิ้นสุดและความ freedom สุดๆ
ในตอนเย็น ประมาณ 4 โมง เรานั่งเรือออกไปดูโลมา (Dolphin Tour) คนขับเรือเขาจะพาเราไปในจุดที่โลมาน่าจะอยู่ ขับวนหาไปเรื่อยๆ ใช้เวลาทั้งหมดจนกระทั่งกลับมาถึงที่เกาะ ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายอีกแล้วที่วันนั้นโล (มา) ไม่มาค่ะ หน้าบึ้งกันไปตามระเบียบ แต่สิ่งที่เราไม่ได้แพลนมาว่าจะเจอก็คือภาพพระอาทิตย์สีส้มตกลงทะเลในระยะประชิด จนทำให้น้ำทะเลเหมือนถูกเปลี่ยนสี เจือสีส้มไปเลย โรแมนติกเว่อร์
ตอนหัวค่ำ เราไปดื่มค็อกเทลสวยๆ ตรงรูฟท็อปของร้านอาหาร Kata ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น มีดีเจมาเปิดเพลง เสร็จแล้วก็ไปจัดอาหารซีฟู้ดแบบหนักๆ ที่ Azure Restaurant สั่งให้หมดเลย ทั้งล็อบสเตอร์ หอยนางรม แล้วก็ปลาท้องถิ่น (ชื่ออะไรจำไม่ได้ แต่สดมากกกก)
วันสุดท้ายของทริป รู้สึกดีมากที่ไฟลท์แอร์เอเชียของเราออกตั้ง 5 ทุ่ม ทำให้มีเวลาวันสุดท้ายแบบเต็มๆ ไม่ต้องรีบตื่นเช้า เราออกมาเดินเล่นแถวสระว่ายน้ำของรีสอร์ทแล้วก็นั่งเขียนไดอารี่พอดีเพิ่งได้สมุดบันทึกของ H Y D E มาใหม่ เห็นปกเป็นหนังสวยดี แล้วข้างในก็มีช่องให้เสียบรูป เสียบปากกา มันพกในเวลาเดินทางได้สะดวก แถมได้ความรู้สึกแบบเก่าๆ ด้วย เหมือนสมัยเด็กๆ ที่เพิ่งเริ่มเขียนบันทึก ทริปนี้ก็เลยพกมานั่งเขียนนั่งอ่าน วาดรูป ชอบกลิ่นกระดาษและความรู้สึกได้จับดินสอ เพลินมากค่ะ
ซีเพลนมารับกลับไปที่สนามบินมาเล่ในตอนบ่าย เราจึงเหลือเวลาสำหรับการเดินสำรวจเมืองอีกนิดหน่อย วิธีไปก็ง่ายมากเลย จากเกาะฮุลฮูเล (Hulhule Island) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบิน ให้เดินไปขึ้นเรือที่ท่าเฟอร์รี่ นั่งไปไม่ถึง 10 นาที ค่าโดยสารคนละ 1 US Dollar มีเรือออกทุกๆ 15 นาที
คำแนะนำอย่างแรกสำหรับผู้หญิงที่จะมาเดินเที่ยวในเมืองมาเล่ ต้องแต่งตัวให้มิดชิดนะคะ เพราะที่นี่เป็นเมืองอิสลามที่ค่อนข้างเคร่งพอสมควร ผู้หญิงทุกคนจะคลุมผ้าฮิจาบสีดำทั้งตัว ถ้าเราแต่งตัวโป๊ เกาะอก สายเดี่ยวอะไรแบบนี้ไปเดินก็จะกลายเป็นจุดสนใจไปเลยค่ะ ตามท้องถนนส่วนใหญ่ผู้คนที่สัญจรไปมาจะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่ด้วย ผู้หญิงส่วนมากเป็นแม่บ้าน และถ้าออกมานอกบ้าน ก็มักจะมากับสามี
มาเล่เป็นเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่เพียงแค่ 2.5 กิโลเมตร เราสามารถเดินสำรวจไปชิลๆ โดยไม่ต้องขึ้นรถอะไรทั้งสิ้น ไม่เกินชั่วโมงก็ได้ครบทุกสถานที่สำคัญ แต่ถ้าอยากชิล จะเช่าจักรยานมาถีบก็ได้ บ้านเมืองเขาอาจจะดูไม่ได้เป็นระเบียบเรียบร้อยนัก แต่เราชอบที่ตึกรามบ้านข่องเขามีสีสันหลากหลายมาก ส้ม แดง เขียว ฟ้า ถ่ายรูปสนุกไปเลย
บรรยากาศริมท่าเรือก็ชิลสุดๆ ค่ะ ลมพัดเย็นๆ แสงแดดอ่อนๆ มีเรือจอด โดยมากจะเป็นเรือ Coast Guard หรือเรือของทหารที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของน่านน้ำ เราเดินเลาะเลียบมาจนถึงจัตุรัสใหญ่ (Republic Square) มีธงชาติของมัลดีฟส์โดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานซึ่งใช้เป็นที่จัดงานสำคัญต่างๆ ของเมือง ตอนเย็นๆ แบบนี้ก็จะเห็นผู้คนมาเดินเล่นพักผ่อนกัน
อยู่เกาะแบบนี้ อาชีพหลักๆ ของคนมัลดีฟส์ก็คือการประมง เราแวะไปดูตลาดปลา Male Fish market ซึ่งจะมีเรือมาเทียบท่าส่งปลาขึ้นขายที่ตลาดนี้ ที่เห็นก็คือปลาทูน่าเยอะมาก แล้วก็ปลาชนิดอื่นๆ ที่สดตาใสทุกตัว
ส่วนฝั่งตรงข้ามคือตลาดสดที่ขายผลไม้และอาหารท้องถิ่นต่างๆ มีกล้วย มะม่วง มะพร้าว พริก แตงกวา แครอท และถ้าใครอยากซื้อของฝาก เราแนะนำ Screwpine ผลไม้ที่ข้างในจะมีอัลมอนด์ เป็นพืชพื้นเมืองในโลกเก่าเขตร้อน มีที่มัลดีฟส์ที่เดียวเท่านั้น เวลาพ่อค้าเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าไป ก็จะหยิบยื่นนู่นนี่มาให้ชิม มีความรู้สึก hard sale เหมือนโดนจู่โจมนิดนึง หน้าตาพ่อค้าจะดูโหดๆ หน่อย สไตล์เข้มๆ ตาโต มีหนวด แต่จริงๆ เขาก็ใจดีแหละ
สถานที่อื่นๆ ที่สำคัญยังมีบ้านพักของประธานาธิบดี (Male Presidential Palace) แล้วก็มัสยิดกลาง (Islamic Center) ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนมาเล่ สามารถจุคนได้ถึง 5,000 คน พอถึงเวลาละหมาด ร้านรวงต่างๆ ในเมืองก็จะปิดประมาณ 15-20 นาที พอละหมาดกันเสร็จแล้วก็กลับมาเปิดร้านต่อ
ไม่ไกลจากกันมีสวนสาธารณะ Sultan Park และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมัลดีฟส์ (National Museum Maldives) ซึ่งตัวอาคารก็คือพระราชวังเก่าที่รีโนเวทให้กลายเป็นที่จัดแสดงศิลปวัตถุที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติและของใช้ของอดีตสุลต่าน หรืองานฝีมืออย่างงานปักผ้าและงานแกะสลักหินของชาวมัลดิเวียน นอกจากนี้ เดินถัดมาอีกนิด เรายังเราเจอสุสานของเมืองด้วย ความน่าสนใจก็คือแผ่นหินของแต่ละหลุมศพจะสูงไม่เท่ากัน ถ้าความสูงมากแปลว่าเป็นหลุมศพของผู้ใหญ่ ถ้าเตี้ยๆ ก็เป็นของเด็ก และถ้าหากเป็นลักษณะเหมือนบ้านก็เป็นของพระราชวงศ์
หลังจากกินมื้อเย็นที่ร้านอาหารท้องถิ่นของมัลดีฟส์จนอิ่ม พระอาทิตย์ก็ตกลงทะเลไปนานแล้ว เราเดินกลับไปยังท่าเรือในตอนค่ำเพื่อนั่งเฟอร์รี่กลับไปที่สนามบิน น้ำทะเลที่เคยเป็นสีเขียว ตอนกลางคืนมองเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้ม เราได้แต่เฝ้ารอให้วันใหม่มาถึง เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องกระทบน้ำทะเลที่นี่จนเกิดประกายความสดใสอีกครั้ง นี่คือความงามที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์อย่างเรา คิดแล้วมีความสุข
สรุปค่าใช้จ่ายของทริป 3 วัน 2 คืน ต่อคน
- ค่าเครื่องบิน Air Asia (รวมภาษี/ไม่รวมค่าโหลดสัมภาระและอาหารบนเครื่อง) ไปกลับ 6,390 บาท
- ค่าที่พักที่ Fairmont Maldives ที่เกาะ Sirru Fen Fushi (ห้องพักประเภท Beach Villa แบบ Half Board รวมอาหารเช้าและเย็น สำหรับ 2 คน 2 คืน รวม 74,106 บาท) ตกคนละ 37,053 บาท
- ค่า Seaplane ไปกลับคนละ (500 USD) 16,000 บาท
- ค่ากิจกรรมทางน้ำที่เกาะ Sirru Fen Fushi (แบบไม่มีมอเตอร์) ฟรี
- ค่าเรือเฟอร์รี่ไปกลับสนามบินและเมืองหลวงมาเล่ (2 USD) 64 บาท
- ค่าอาหารและขนมอื่นๆ ในเมืองมาเล่ คนละ 490 บาท
รวม 59,997 บาท
*อัตราแลกเปลี่ยน 1 USD = 32 บาท
———————————
Travel Tips
- เวลาท้องถิ่นของมัลดีฟส์ช้ากว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
- สกุลเงินท้องถิ่นคือ รูฟียาห์ (Rufiyaa) แต่นักท่องเที่ยวสามารถใช้เงิน US dollar ใช้จ่ายได้เลย
- มัลดีฟส์เป็นเกาะ เวลาหน้าฝน จึงมีฝนตกเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วท้องฟ้าก็จะกลับมาสดใสเหมือนเดิม ดังนั้นการมาเที่ยวในหน้าฝนช่วง low season (เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม) จึงไม่เป็นปัญหาเลย แถมค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักจะถูกลงด้วย
- 99% ของชาวเมืองมัลดีฟส์นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด สำหรับผู้หญิงเวลาท่องเที่ยวในตัวเมืองหลวงมาเล่จึงควรแต่งกายมิดชิด
- ห้ามเก็บเปลือกหอยหรือปะการังและนำออกไปจากมัลดีฟส์เด็ดขาดเพราะถือว่าผิดกฏหมาย