หลวงพระบางเป็นเมืองหลวงเก่าของลาวที่ยูเนสโก (UNESCO) ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ฉันเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง และหลงรักบรรยากาศที่เนิบช้า วิวมุมสูงที่มองเห็นแต่บ้านเรือนเก่าๆ จุดที่แม่น้ำโขงบรรจบกับแม่น้ำคาน สะพานไม้ไผ่เก่าๆ ไปจนถึงวัดวาอารามเก่าแก่ที่สร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงาม
ครั้งนี้พาแม่มาเที่ยวด้วย ในทริป 3 วัน 2 คืนแบบง่ายๆ แม่อยากมาเที่ยวหลวงพระบางนานแล้ว แม่เป็นคนชอบวัฒนธรรมแบบล้านนา ชอบเชียงใหม่ ตั้งแต่สาวๆ นี่ไปเชียงใหม่บ่อยมาก ชอบขึ้นดอย ชอบผ้าไหม ผ้าซิ่น ชอบเครื่องประดับเงิน ชอบไม้สัก ชอบบ้านเรือนและเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ พอ Air Asia เปิดเส้นทางบินกรุงเทพฯ-หลวงพระบางในราคาประหยัด ฉันก็ไม่ลังเล จองพาแม่เที่ยวเลย แถมจองกันข้ามปี โชคดีได้ราคาโปร เลยถูกไปอีก แค่ประมาณคนละไม่ถึง 3 พันบาท
มาถึงหลวงพระบางปุ๊บ หลังจากเก็บของที่โรงแรม ฉันก็พาแม่ข้ามสะพานไม้ไผ่ไปเดินตลาดมืดในเมือง ฟีดแบ็กแรกของแม่ที่มีต่อหลวงพระบางคือ “ที่นี่ก็คล้ายๆ เชียงใหม่เมื่อ 40-50 ปีก่อน” สายตาเหนื่อยล้าจากอาการเมาเครื่องบินของแม่หายไปแล้ว
ตลาดมืดเป็นชื่อเรียกของตลาดกลางคืนของหลวงพระบาง คือถนนคนเดินบนถนนศรีสว่างวงศ์ที่พ่อค้าแม่ค้าชาวหลวงพระบางจะมาตั้งของขายกันตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม ส่วนใหญ่เป็นงานพื้นเมือง ผ้าซิ่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ลวดลายแบบชาวลาวแท้ๆ ที่แม่ค้าไปรับจากหมู่บ้านต่างๆ มาวางขายกัน ต่อด้วยเครื่องประดับ แหวน สร้อย ทำจากเงิน รวมไปถึงชาพื้นบ้าน กาแฟ สบู่สมุนไพร ฯลฯ ต้องเป็นคนที่ชอบงานฝีมือประมาณนี้นะถึงจะเดินสนุก
ขนาบข้างสองฝั่งถนนนั้นคือห้องแถวชั้นเดียวบ้าง สองชั้นบ้าง เป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือไม่ก็สปา ส่วนใหญ่เป็นตึกเก่าที่ตกแต่งให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น โดยมากเป็นร้านของฝรั่งทั้งนั้น
โปรแกรมเที่ยวแบบเต็มๆ ของฉันอยู่ที่วันรุ่งขึ้น ออกแบบมาเพื่อแม่โดยเฉพาะ ทั้งหมดล้วนเป็นสถานที่ไฮไลท์ของหลวงพระบาง ทั้งวัด วัง หมู่บ้านผ้าทอ และน้ำตก
วัดเชียงทอง วัดที่สวยงามที่สุดในหลวงพระบาง
Wat Xieng Thong
ใครก็ตาม ถ้ามาหลวงพระบางแล้วไม่แวะวัดเชียงทองก็เหมือนมาไม่ถึง วัดนี้สร้างโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์ของลาว ช่วงปีพ.ศ. 2103 เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้าง ว่ากันว่าได้รับอิทธิพลมาจากวิหารวัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ และพระแก้วมรกตก็เคยประดิษฐานอยู่ที่นี่ด้วยก่อนที่จะมีการอัญเชิญไปเวียงจันทน์ จนกระทั่งมาประดิษฐานที่วัดพระแก้วที่กรุงเทพฯในเวลาต่อมา
แม่ดูอิ่มเอมกับการตกแต่งผนังภายในพระอุโบสถอันประณีตวิจิตรเป็นอย่างมาก ทั้งผนังที่ลงรักปิดทองบอกเล่าพุทธประวัติเรื่องพระสุธน-มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าทศชาติ รวมไปถึงลวดลายบนบานประตูสีเหลืองทองของโรงเมี้ยนโกศ โรงเก็บราชรถของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา ก็ได้ช่างฝีมือดีมาแกะสลักวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ ดูโอ่อ่าใหญ่โต พอไปยืนถ่ายรูปด้วย คนเหลือตัวนิดเดียวเอง
ค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
————
พระธาตุพูสี จุดสูงสุดที่มองเห็นวิวหลวงพระบางได้ทั้งเมือง
Mount Phou Si
ที่นี่ทำเอาแม่เราหอบแฮ่กไปเลย กับการทดสอบความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายและจิตใจของคนวัย 50 ด้วยการขึ้นบันได 328 ขั้น เพื่อไปนมัสการพระธาตุพูสี หรือ พระธาตุจอมสี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตอนนั่งเครื่องบินมา เราก็มองเห็นที่นี่เป็นอย่างแรกๆ ของหลวงพระบางเลยนะ
พูสี แปลว่า ภูเขาของฤาษี เพราะเล่ากันว่าเมื่อก่อนเคยมีฤาษีอาศัยอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีพญานาคที่จะลงจากภูเขามาเล่นน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์ภายในวังเจ้ามหาชีวิตฝั่งตรงข้าม ทุกๆ วันขึ้นปีใหม่ของลาว (16 เมษายน ของทุกปี) ระหว่างทางขึ้นมีต้นจำปาซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติลาวคอยส่งกลิ่นหอมอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับลมที่พัดโบกเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา เหมือนคอยให้กำลังใจคนเดินขึ้น สำหรับคนวัยแม่ เป้าหมายเขาคือการขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเป้าหมายของคนวัยเราอ่ะเหรอ คงไม่พ้นการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่กำลังจะลับลาหายลงไปในวิวเมืองหลวงพระบางยามเย็น นอกจากจะมีแสงแดงระเรื่อสาดส่องมาที่พระธาตุเห็นเป็นสีทองเหลืองอร่ามแล้ว เรายังได้เห็นวิวหลวงพระบางแบบ 360 องศา ลองยืนปล่อยใจแล้วมองออกไปนิ่งๆ มันดูเหมือนจะทำให้ลืมเวล่ำเวลาไปได้เลยนะ
ค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
————
พระราชวังหลวงพระบาง อาคารฝรั่งหลังคาทรงลาว
Royal Palace Museum
ตรงข้ามกับพระธาตุพูสี คือ พระราชวังหลวงพระบาง อาคารเก่าที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เคยเป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นระยะเวลานานจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ สืบต่อมาจนถึงสมัยเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของลาว
เมื่อย่างก้าวเข้าไปในบริเวณรั้วพระราชวัง แม่ชี้ให้ดูทางซ้ายมือและบอกให้ไหว้เจ้าของสถานที่หน่อย นั่นคืออนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ น้ำหนักกว่า 5 ตัน ทำการหล่อที่ประเทศรัสเซียก่อนจะส่งมาที่นี่
หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ชาวลาวเรียกว่า “การปลดปล่อย” ที่นี่แปรเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ก็มีทั้งห้องฟังธรรม ห้องรับแขกของพระมเหสีและเจ้ามหาชีวิต ห้องท้องพระโรง หอพระบางที่ประดิษฐานพระบาง พระคู่บ้านคู่เมือง รวมไปถึงโรงละคร “พะลักพะลาม” ซึ่งน่าจะหมายถึงโรงละครพระลักษณ์ พระราม สถานที่แสดงละครเรื่องรามเกียรติ์ตั้งอยู่ในเขตวัง
ฉันกับแม่แวะเข้าไปเซอร์เวย์นิดหน่อย ตามเสียงระนาด เสียงจะเข้ไปนั่นแหละ แล้วก็ไปเจอกรอบรูปพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งที่คณะละครของที่นี่เดินทางไปเปิดการแสดงที่โรงละครแห่งชาติของไทย แต่ว่าวันนั้นเราไม่ได้ดูละครหรอก เพราะเข้าไปถึงก็ติดเที่ยงพอดี ถ้าจะชมการแสดงต้องรอช่วงบ่าย แม่พูดติดตลกว่าธรรมเนียมที่นี่เขาต้องพักนอนกลางวันกันก่อน อันนี้ไม่รู้จริงไหมนะ
ค่าเข้าชม คนละ 30,000 กีบ (ประมาณ 130 บาท)
เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร
ช่วงเช้า 8.00-11.30น.
ช่วงบ่าย 13.30-16.00น.
—————-
ตาดกวางสี น้ำตกหินปูนสีฟ้าอ่อน
Kouangzi Waterfalls
เราเช่ารถตู้จากตัวเมืองหลวงพระบางไปตาดกวางสี ซึ่งห่างออกไปประมาณ 32 กิโลเมตร เพื่อไปดูน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง
ด้านหน้าก่อนทางขึ้นน้ำตกมีร้านอาหารหลายร้าน นี่ก็เติมพลังด้วยส้มตำไก่ย่างกันก่อน เราสั่งส้มตำไทยและขอย้ำว่าเอาแบบไม่เผ็ดเลย แค่พริกติดครก แต่พริกติดครกก็ทำเรากินไป น้ำตาไหลไป เผ็ดจริงอะไรจริง
จากนั้นเดินเข้าด้านในอุทยาน ผ่านกรงหมีก่อน หมีเพียบเลย อยู่กันแบบชิลๆ ตามมุมต่างๆ เราไม่ค่อยตื่นเต้นกับหมีมาก แต่ตื่นเต้นกับน้ำตกข้างในมากกว่า น้ำสีฟ้าใสสะท้อนกับแสงอาทิตย์ระเรื่อ แถมฝ.เยอะมากกกกก งานดีทั้งนั้น (อันนี้เริ่มนอกเรื่อง) นั่นแหละ น้ำเย็นเจี๊ยบ ไหลลงมาเป็นชั้นๆ เป็นแอ่งๆ แล้วแต่ว่าใครเดินไหวแค่ไหน อยากไปชั้นสูงๆ ก็เดินต่อขึ้นไปเรื่อยๆ นะ สวยสมคำร่ำลือว่าเป็นสวรรค์กลางป่าแห่งหลวงพระบางจริงๆ
ค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
—————–
วัดวิชุน วัดเก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบาง
Wat Wisunarat (Wat Visoun)
เอาจริงๆ เราไม่รู้จักวัดนี้มาก่อน ตอนมาเที่ยวครั้งที่แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ แต่เรามารู้จักวัดนี้ได้เพราะว่าใกล้ๆ วัดมีร้านแหนมเนืองเจ้าอร่อยอยู่ ก็เลยกะว่าพาแม่มาชิมแหนมเนืองด้วย และได้เข้าไปไหว้พระที่วัดด้วย
น่าเสียดายนิดหน่อยที่ตอนเข้าไปไม่ได้ถ่ายรูปเยอะ เพราะวัดกำลังอยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซม แต่ภายในบริเวณวัดก็ร่มรื่นมาก มีต้นโพธิ์แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาแก่ผู้มาเยือน เราเดินดูนั่นดูนี่กันอยู่สักพัก มีหลวงพ่อองค์หนึ่งส่งเสียงเรียกเป็นภาษาไทยมาแต่ไกล ถามว่าเป็นคนไทยใช่ไหม ฉันกับแม่ยกมือไหว้นมัสการหลวงพ่อซึ่งย้ายมาจากเชียงใหม่และมาบวชอยู่ที่นี่ หลวงพ่อเลยเล่าเรื่องของวัดนี้ให้เราฟัง รวมถึงชวนสนทนาเรื่องการบ้านการเมืองที่ไทยไปในตัว
วัดวิชุน สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2058 ในรัชสมัยพระเจ้าวิชุลราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง เอกลักษณ์อยู่ที่บานประตูไม้เก่าแก่แกะสลักสวยงาม ด้านในมีพระพุทธรูปเก่าแก่และศิลาจารึก รวมไปถึงพระธาตุที่แตกต่างจากพระธาตุที่อื่นๆ ด้วยรูปทรงกลมตัดครึ่ง ดูเหมือนแตงโม บ้างจึงเรียกว่าพระธาตุหมากโม
ค่าเข้าชม คนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
————
ทิ้งท้ายไว้ด้วยภาพวิถีชีวิตในเมืองหลวงพระบาง ตั้งแต่การตักบาตรข้าวเหนียว เด็กนักเรียนเดินกลับบ้าน ไปจนถึงนักเดินทางที่นิยมมาปั่นจักรยานที่นี่
สำหรับนักปั่นที่แพลนจะมาที่หลวงพระบาง นอกจากการปั่นชิดขวา ซึ่งตรงข้ามกับบ้านเราแล้ว ยังมีบางเส้นทางที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น ทางออกนอกเมือง ไม่ว่าจะไปน้ำตกหรือไปหมู่บ้านเล็กๆ บางช่วงเป็นเขาและดินลูกรัง หรือแม้แต่สะพาน Old Bridge ข้ามแม่น้ำคาน ที่ให้วิ่งได้เฉพาะมอเตอร์ไซค์กับจักรยาน แต่ความยากคือเลนแคบที่ปูฝั่งละ 3 ไม้กระดาน ซึ่งต้องวิ่งเรียงเดี่ยวทีละคัน นี่ก็เลยพาแม่ไปล้มซะ ได้แผลกันมาคนละนิดหน่อย กลายเป็นทริปที่ไม่รู้ได้บุญหรือได้บาป
ตอนที่นั่งเขียนอยู่นี่ก็ยังไม่หายระบมร่าง แต่ก็ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร มีที่ไหน เอาแม่ซ้อนจักรยานไปล้มที่หลวงพระบาง แล้วยังจะมีหน้าเอามาเล่าลงบล็อกด้วย
Photos: Anya