หลายคนใฝ่ฝันอยากมาเที่ยวเมืองแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตรงชายฝั่งริเวียรา แต่ก็ไม่รู้ว่าอิตาเลียนริเวียรากับเฟรนช์ริเวียราต่างกันอย่างไร มันอยู่ตรงไหนบ้างและควรจะไปเที่ยวที่ไหนดี หลังจากที่เราไปเยือนมาแล้วทั้งสองแห่ง เราจะพาทุกคนไปดูความแตกต่างกันค่ะ

French Riviera
Italian Riviera

อย่างแรกต้องอธิบายก่อนว่า คำว่า ‘ริเวียรา’ (Riviera) เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่าแนวชายฝั่งหรือท่าน้ำ เรื่องของเรื่องก็คือในอดีตตั้งแต่ร้อยปีก่อน ชาวอังกฤษได้เข้ามาพัฒนาเมืองชายฝั่งทะเลแถบนี้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว มันกินพื้นที่ยาวตั้งแต่เมือง ลา สเปเซีย (La Spezia) ของอิตาลี ยาวมาจนถึงเมืองมาร์เซยย์ (Marseille) ของฝรั่งเศส ดังนั้นในส่วนที่เป็นอาณาเขตของประเทศอิตาลี เขาก็จะเรียก Italian Riviera หรือ Ligurian Riviera (เพราะทะเลบริเวณนั้นเรียกทะเลลิกูเรีย) ส่วนที่อยู่ในฝรั่งเศสก็จะเรียกว่า French Riviera หรือ โกต ดาซูร์ (Côte d’Azur) ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนและวันหยุดยาวของชาวยุโรป บริเวณนี้จะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว

วิธีที่เหมาะที่สุดของการท่องเที่ยวในเมืองแถบนี้ คือการขับรถ เพราะมีถนนมอเตอร์เวย์ตัดเลียบชายฝั่งจากอิตาลียาวไปถึงฝรั่งเศส ค่อนข้างสะดวกสบายมาก ถ้าขับยาวๆ แบบไม่พักเลยก็จะใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง แต่แน่นอนว่าเราไปเที่ยวแล้วก็ต้องมีแวะชมความสวยงามของแต่ละจุด ซึ่งบอกเลยว่าที่เที่ยวมีเยอะมากกก ถ้าคราวหน้าไปอีก อยากจะขอเวลาสัก 1 เดือน

ข้อควรระวังสำหรับการมาขับรถเที่ยวริเวียราคือถนนจะอยู่บนภูเขา เขาบอกว่าถนนตรงนั้นมันคือเปลือกโลกในส่วนของภูเขาแอลป์ทางใต้ของยุโรป ดังนั้นเส้นทางจึงคดเคี้ยวเลี้ยวไปมา มีทางที่หวาดเสียวเป็นระยะ และบางจุดก็เป็นหน้าผาแคบๆ รถสวนกันทีก็มีใจเต้นเหมือนกัน และเราจะเห็นรถบัสขนาดใหญ่วิ่งสวนกันบนหน้าผาด้วย ต้องยอมใจในฝีมือของคนขับรถที่นี่

แต่เสน่ห์ของการขับรถเที่ยวคือเราสามารถแวะจอดชื่นชมความงามตรงไหนก็ได้ และเราอาจจะเคยเห็นภาพแฟชั่นต่างๆ ตามแมกกาซีนหรือ Pinterest ก็มักจะมีภาพคนขับรถเปิดประทุนมารับลมชิลๆ แถวนี้ ถ้ามาเดทก็สุดจะโรแมนติก และถ้ามากับกลุ่มเพื่อนก็จะสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย

อีกวิธีคือการนั่งรถไฟซึ่งมีราคาย่อมเยาลงมา สะดวก รวดเร็ว แล้วก็ยังได้มองวิวชายฝั่งทะเลชิลๆ ทั้งรถไฟอิตาลีและรถไฟฝรั่งเศสมีความสะดวกสบายพอๆ กันค่ะ แต่ความยากคือเขาจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษกันเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานั่งรถไฟข้ามเมืองในอิตาลีแล้วรถไฟเกิดเสีย มีเสียงประกาศตามสายเป็นภาษาอิตาเลียนหมดเลย T-T เราก็ต้องใช้วิธีสังเกตปฏิกิริยาของคนรอบข้างแล้วก็เดินตามๆ เขาไปขึ้นอีกชานชาลาหนึ่งเพื่อเปลี่ยนขบวน

นอกจากนี้อีกวิธีที่ประหยัดสุดๆ ไปเลย ก็คือ Flixbus เราได้มีโอกาสใช้บริการรถบัสข้ามเมือง จากเจนัว (Genoa) ของอิตาลี มาลงที่เมืองนีซ (Nice) ของฝรั่งเศส ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง การเดินทางราบรื่นดี ไม่มีปัญหา แต่มีจอดพักสักครู่ตอนช่วงข้ามเขตแดนประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจพาสปอร์ตและวีซ่าบนรถเลยค่ะ

แม้ว่าเฟรนช์ริเวียรากับอิตาเลียนริเวียราจะเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเหมือนกัน และได้รับการบุกเบิกให้มาเป็นเมืองท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่ก็ต้องบอกว่าในความเป็นอิตาเลียนกับฝรั่งเศส มันก็คนละอารมณ์กันเลย บอกไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่าและควรไปอันไหน แล้วแต่สไตล์ความชอบของแต่ละคน แต่แนะนำว่าถ้ามีเวลาพอ ก็ไปให้ครบทั้งสองเลยก็ดีนะคะ

8 ความเหมือน-ความต่าง French Riviera vs Italian Riviera

1. เมืองไฮไลท์

Monterosso al mare
Monterosso al Mare อิตาลี

เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวทั่วไป คือเขาจะมีจุดที่เป็นเมืองหลักหรือ Touristic spots อยู่ อย่างในอิตาเลียนริเวียรา จุดที่โด่งดังก็คือ ชิงเกว เตเร่ (Cinque Terre) หรือ 5 หมู่บ้านที่อยู่ในการ์ตูนเรื่อง Luca ตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง ลา สเปเซีย และอีกจุดก็คือเมืองเจนัว (Genoa) ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของอิตาลี เพราะเป็นเมืองหลวงของแคว้นลิกูเรีย (Liguria) เป็นศูนย์กลางการคมนาคม นอกจากท่าเรือใหญ่แล้วก็มีสนามบิน สถานีรถไฟต่างๆ

นีซ

ขณะที่ฝั่งเฟรนช์ริเวียรา ทุกคนก็จะรู้จักเมืองนีซ (Nice) มากที่สุด มีสนามบินเป็นของตัวเองเช่นกัน แล้วก็มีพื้นที่กว้างขวาง ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ และมีทิวทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งทะเลและภูเขาอยู่ในเมืองเดียวกัน จากสถิติแล้ว สนามบินที่นีซมีจำนวนผู้โดยสารมาใช้บริการเป็นอันดับ 3 ของฝรั่งเศส รองจากสนามบิน Charles de Gaulle และ Orly ในปารีส เมืองหลวงเลยทีเดียว

2. หาดหินกรวดและหาดทราย

Monterosso al Mare หนึ่งในหาดชื่อดังของ Cinque Terre

ทั้งเฟรนช์ริเวียราและอิตาเลียนริเวียราส่วนมากจะเป็นหาดหินกรวดซะเยอะกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหาดทรายเลย ความต่างก็คือหาดหินจะเดินลำบากกว่า และถ้าช่วงแดดร้อนมากๆ เดินเท้าเปล่าก็จะร้อนเท้าสุดๆ แต่ไม่ต้องห่วงมันจะบาดเพราะหินค่อนข้างมน ถ้ามองเป็นข้อดีคือมันก็นวดเท้าไปในตัว แถมพอลุกใส่รองเท้าก็ไม่เลอะเทอะ ส่วนหาดทรายมันจะนุ่มเท้า เหมาะกับพาเด็กๆ มา แต่ข้อเสียคือมันก็จะติดเท้า เลอะเทอะรองเท้าบ้าง

ชายหาด Santa Margherita ที่อิตาลี

ฝั่งเฟรนช์ริเวียรา หาดที่เป็นหินกรวด เช่น หาดต่างๆ ในเมืองนีซ, Paloma Beach ที่ Cap-Ferrat ส่วนหาดทรายก็อย่างเช่น Plage des Marinieres ที่ Villefranche-sur-Mer ใกล้นีซ, Mala beach ที่ Cap-d’Ail ใกล้ๆ ประเทศโมนาโก, หาด Juan-les-Pins กับหาด Criques de la Garoupe ที่ Antibes และหาด La Bocca ที่คานส์ เป็นต้น

Juan-les-pins-หาด
Juan-les-Pins หาดทรายสุดชิคแห่งเมือง Antibes

ฝั่งอิตาเลียนริเวียรา หาดที่เป็นหินกรวด เช่น หาดที่ Portofino, Boccadasse, Nervi, Spiaggia Santa Chiara เมืองเจนัว และหาดส่วนใหญ่ใน Cinque Terre ยกเว้นจุดหนึ่งที่เป็นหาดทราย คือ Spiaggia della Fenigia อยู่ที่ Monterosso นอกจากนี้ก็ยังมีหาดทรายที่อื่นๆ อีก เช่น Paraggi เมืองเล็กๆ ใกล้ Santa Margherita Ligure, Punta Corvo ที่ Ameglia ใกล้ๆ กับเมืองลา สเปเซีย เป็นต้น

3. อารมณ์ชิคๆ กับอารมณ์ชิลๆ

แน่นอนว่าในความเป็นฝรั่งเศส ทำให้ฝั่งเฟรนช์ริเวียรามีความชิคเก๋ ความลักชัวรี่ด้วยโรงแรม 5 ดาวเรียงรายอยู่ตามชายหาด ได้ชื่อว่าเป็นเมืองฮอลิเดย์สำหรับเหล่าเซเลบริตี้ระดับโลกที่มักจะมาพักผ่อนกันที่เมืองคานส์, แซงต์ โทรเปซ์, แซงต์ ราฟาเอล แถมยังอยู่ใกล้โมนาโกซึ่งโด่งดังเรื่องคาสิโนและรถแข่งอีกด้วย ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและคนจากต่างถิ่นมาอยู่ค่อนข้างเยอะ มีช็อปแบรนด์แนมหรูหรามากมาย และด้วยความที่เมืองมันมีขนาดใหญ่และออกแบบมาให้ผู้คนค่อนข้างกระจายตัวกัน เวลาไปเดินเที่ยว เลยไม่ค่อยรู้สึกหนาแน่นหรือเบียดเสียดอะไร

ส่วนอิตาเลียนริเวียรา ส่วนใหญ่แล้วเป็นหมู่บ้านชาวประมง ขนาดไม่ใหญ่นัก เราเลยรู้สึกว่าผู้คนมีความใกล้ชิดกันมากกว่า จำนวนคนท้องถิ่นมีปะปนอยู่กับนักท่องเที่ยวมากกว่าฝั่งเฟรนช์ริเวียรา บรรยากาศจึงดูติดดินและผ่อนคลายมากกว่า บางทีจะเห็นคุณป้าคุณลุงนอนอาบแดดแบบไม่สนใจใคร เห็นคนตกปลาในหมู่บ้านชิลๆ รวมถึงคาเฟ่เล็กๆ ที่คนนั่งจิบกาแฟและใช้มือหยิบพิซซ่าทานไปด้วย แต่ก็มีเมืองท่องเที่ยวที่หรูหราแทรกตัวอยู่เช่นกัน นั่นคือ ปอร์โตฟิโน (Portofino) ที่เหล่าเซเลบริตี้ชอบมาพักผ่อนวันหยุดหรือจัดงานแต่งงาน งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง มีเหล่าเศรษฐีมาสร้างบ้านพักตากอากาศ แต่โดยรวมเราก็รู้สึกว่ามันมีความชิลกว่าฝั่งเฟรนช์ริเวียราอยู่ดี

4. วิว

สำหรับเรา มันสวยคนละแบบ อย่างอิตาเลียนริเวียรา เสน่ห์คือบ้านสีๆ น่ารักๆ ที่เรียงรายกันอยู่ตามไหล่เขา บ้านพวกนี้อายุเก่าแก่ เป็นมรดกโลก ซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี มันเลยดูคลาสสิกมาก ที่เห็นเป็นเอกลักษณ์เลยคือมักเป็นบ้านสีน้ำตาลและหน้าต่างสีเขียว ส่วนหาดก็จะมีโขดหินรูปร่างประหลาดตา มีน้ำทะเลสีน้ำเงินอมเขียวส่องประกายเมื่อโดนแสงแดดกระทบ

Portofino
Cinque Terre
Cinque Terre

ขณะที่วิวของเฟรนช์ริเวียรา หาดจะมาแบบพาโนรามิควิว มุมมองกว้างๆ สบายตา และตามหาดจะมีคนเล่นกีฬาและทำกิจกรรมเอาท์ดอร์เยอะกว่า

วิวมุมสูงจาก Eze หมู่บ้านยุคกลางในฝรั่งเศส

5. ค่าครองชีพ

หลายคนบอกว่าเฟรนช์ริเวียราของแพงกว่าอิตาเลียนริเวียรา อันนี้เราก็พิสูจน์มาแล้วว่าจริง แต่ก็แล้วแต่จุดด้วย ถ้าเป็นในเมืองท่องเที่ยวดังๆ อย่างนีซ คานส์ ของฝรั่งเศส กับปอร์โตฟิโนของอิตาลี แน่นอนว่าถ้าเข้าร้านอาหารสั่งไวน์กันทีก็มีหน้ามืดเบาๆ แต่มันก็จะมีจุดที่ไม่ touristic มากนักในราคาย่อมเยาลงมาหน่อย อย่างในส่วนที่เป็นหมู่บ้านชาวประมงต่างๆ ของอิตาลี เช่น Boccadasse, Nervi หรือพวกโซนเมืองเก่าและตลาดโพรวองซ์ของฝรั่งเศส ก็ไม่ทำร้ายจำนวนเงินในกระเป๋ามากนัก

ตลาดโพรวองซ์เมือง Antibes
ตลาดในโซน Nice old town

6. ขนส่งสาธารณะ

ต้องยอมรับว่าฝั่งเฟรนช์ริเวียราจะมีตัวเลือกของการเดินทางแบบ public transport ให้เลือกมากกว่า โดยเฉพาะในนีซ เขาจะมี tourist train หรือรถไฟพลังงานไฟฟ้าสำหรับนักท่องเที่ยว มี tourist bus แบบ hop on hop off มีรถราง รถไฟ รถเมล์ มีสกูตเตอร์ให้เช่า และมีจักรยานให้เช่าสีฟ้าๆ เรียกว่า vélo bleu (เวโล เบลอ) ตามจุดต่างๆ ของเมือง แล้วก็รถที่เรียกว่า vélo taxi (เวโล ทักซี) เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนีซเลย หน้าตาคล้ายๆ รถสามล้อถีบแบบโบราณของบ้านเรา คือมีคนขับ แล้วก็มีที่นั่งสำหรับสองคนที่ด้านหลัง แต่ของที่นี่เป็นรูปแบบโมเดิร์น และใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บนรถไฟท่องเที่ยวเมืองนีซ
ล่องเรือหรูคือกิจกรรมยอดนิยมในเมืองนีซ
จักรยานไฟฟ้าให้เช่าสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่ Nice
สถานีรถไฟเลียบทะเลลิกูเรียในอิตาลี

7. ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว

อันนี้ต้องบอกเลยว่าเฟรนช์ริเวียรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายกว่าฝั่งอิตาเลียนริเวียรา เพราะนอกจากทะเลแล้ว เขาก็มีอาร์ตมิวเซียม เช่น ที่นีซจะมี Musée Matisse, Musée National Marc Chagal, Musée d’Art Moderne et d’Art Contemporain รวมถึงวิลล่าหรูของตระกูลดังระดับโลกอย่าง Rothschild แล้วก็ยังมี Musée Picasso ที่ Antibes นอกจากนี้ก็มีพาร์คให้เข้าไปดูต้นไม้ ดูนก มีสปาชื่อดังให้ได้ไปอาบน้ำแร่กันบนภูเขา มีตลาดในโซนเมืองเก่าที่น่าสนใจและเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์โพรวองซ์ มีสถาปัตยกรรมยุคกลางให้ดูตามหมู่บ้าน และถ้าหากมีเวลาเหลือ ก็สามารถนั่งรถไฟเขยิบขึ้นไปทางเมืองโพรวองซ์ทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียง ก็จะมีทุ่งลาเวนเดอร์ให้วิ่งเล่นกันด้วย สามารถไปเช้าเย็นกลับได้เลย

Nice
พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซที่เมือง Antibes
พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซที่เมือง Antibes

ขณะที่อิตาเลียนริเวียราเน้นทะเลและธรรมชาติเป็นหลัก มีเส้นทางไฮกิ้งตามเนินเขาใน Portofino หรือการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่เมืองเจนัว นอกนั้นก็จะเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์อย่างบ้านเกิดคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และร้านรวงเล็กๆ ที่ขายไวน์ท้องถิ่นหรืองานฝีมือแบบไม่เหมือนใคร ใครสนใจพวกอาร์ตมิวเซียมหรือสถาปัตยกรรมโอ่อ่าควรไปเที่ยวเมืองประวัติศาสตร์อื่นๆ ของอิตาลีอย่างโรม มิลาน ฟลอเรนซ์ จะอิ่มเอมมากกว่า

8. ที่พัก

อย่างที่บอกไปแล้วว่าเฟรนช์ริเวียราคือเมืองหรูหราที่เต็มไปด้วยโรงแรม 5 ดาว แต่ถ้าฝั่งอิตาเลียนริเวียรา จะมีความหลากหลายในเรื่องของที่พักมากกว่า โรงแรมหรือรีสอร์ทหรูก็มี ซึ่งจะอยู่ในโซนท่องเที่ยว ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นไพรเวทวิลล่าไปเลย ส่วนนักท่องเที่ยวนิยมไปพักโรงแรมขนาดเล็ก ที่พักที่เป็นธุรกิจครอบครัว และ bed & breakfast และแน่นอนว่าในความเป็นคนอิตาเลียน เขาก็จะเฟรนด์ลี่กว่า เจ้าของที่พักอาจจะเข้ามาผูกมิตรและแนะนำสถานที่เที่ยวแบบคนโลคอล อย่างที่เราไปพัก airbnb ในเจนัว เจ้าของอพาร์ตเมนต์อาสาพาขับรถเที่ยวในเมือง และยังพาไปร้านอาหารโปรดของเขาอีกด้วย

Carlton Hotel ในเมืองนีซ

สรุปได้ว่าทั้งเฟรนช์ริเวียราและอิตาเลียนริเวียรามีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยไม่แพ้กัน มีวิวเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ต่างกันไปคนละแบบ ส่วนฟีลลิ่งคืออิตาลีจะมีความชิล ความผ่อนคลายสบายใจ และติดดินมากกว่า เหมาะแก่การพักผ่อนและคนที่ชอบสำรวจความเป็นท้องถิ่น แต่ถ้าคนที่ชอบความลักชู ที่เที่ยวหลากหลาย ชอบธรรมชาติและก็ชอบความเป็นเมืองด้วยในเวลาเดียวกัน ฝั่งเฟรนช์ริเวียราก็มีอะไรให้เราเอนจอยเยอะมากตราบเท่าที่เราจะมีเวลาพอ แต่ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากกลับไปเที่ยวซ้ำทั้งสองที่เลย นั่งเขียนอยู่ตอนนี้ก็คิดถึงโมเมนต์นั้นมากๆ

Leave a Reply