Tradition an Contemporary blended
บนเรือสตาร์เฟอร์รี่ (Star Ferry) ฉันนั่งปะปนอยู่กับคนฮ่องกงอีกหลายคนที่กำลังมุ่งหน้าข้ามฟากจากจิมซาจุ่ย (Tsim Tsa Shui) ไปวานไจ๋ (Wanchai) แสดงให้เห็นว่ายังมีคนท้องถิ่นหลายคนที่เลือกการเดินทางทางเรือ แม้จะมีรถไฟใต้ดิน (MTR) ซึ่งรวดเร็วกว่า แต่เรือก็เก่าแก่และคลาสสิก เพราะเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888 และยังได้เห็นวิวของสองฝั่งอ่าววิกตอเรียอย่างใกล้ชิด อ่าวที่ได้ชื่อว่ามีผู้คนจากทั่วโลกอยากเดินทางมาถ่ายรูปด้วยมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ย่านวานไจ๋ ที่บางคนอาจเรียกว่าหว่านไจ๋ หวานใจ วันชัย หรือวันไช่ อะไรก็แล้วแต่… มันเป็นย่านที่ฉันมาบ่อยที่สุดเวลามาฮ่องกง ที่นี่คือย่านประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกตั้งแต่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง The World ของซูซี่ หว่อง เมื่อปี 1960 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในใจกลางย่านธุรกิจที่สำคัญของฮ่องกงที่ยังคงอนุรักษ์เสน่ห์วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ เมื่อมาบวกกับความร่วมสมัย จึงกลายเป็นย่านเก๋ๆ ชิคๆ ย่านหนึ่งที่คนรักศิลปะและงานดีไซน์มักไม่พลาดมาเดินเที่ยวเล่นกัน
เริ่มตั้งแต่ลงเรือเฟอร์รี่ที่ท่าวานไจ๋ เราเดินขึ้นสกายวอล์กมาทาง Hong Kong Convention and Exhibition Centre ทะลุตึกนั้นตึกนี้มาเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปทางตลาด Wan Chai Market จนมาโผล่แถวๆ Queen’s Rd. East จะเจอร้านขายเครื่องหวายและเฟอร์นิเจอร์คุณภาพดีจากจีนอยู่หลายร้าน ก่อนเดินทะลุมาที่ Johnston Rd. ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านเบเกอรี่ร้านดัง Tai Cheong Bakery ที่มีทาร์ตไข่ที่อร่อยที่สุดติดอันดับ Top 5 ของฮ่องกง เป็นทาร์ตไข่สีเหลืองนวลสูตรดั้งเดิมของฮ่องกง หน้าทาร์ตเรียบเนียนบวกกับกลิ่นและรสหอมๆ ของไข่ ทำให้มาฮ่องกงทีไรก็ต้องแวะที่นี่
อีกหนึ่งเจ้าที่อร่อยไม่แพ้กันคือ Kam Fung Cafe ตั้งอยู่ในซอย Spring Garden Lee เป็นห้องแถวเล็กๆ คนเสิร์ฟหน้าโหดเบาๆ แล้วก็ตะโกนกันโหวกเหวกๆ ตามสไตล์คนจีน แต่ถ้าได้ลองของขึ้นชื่อของเขาอย่างทาร์ตไข่และชานมที่ใส่เป็นขวดแช่อยู่ในตู้แล้ว ก็จะลืมรสชานมที่เคยกินมาทั้งหมดได้เลย (เวอร์ไปป่าว)
จากคัมฟุง ถ้าเราจะเดินเล่นในซอย ก็มีแผงขายเสื้อผ้าบ้างเล็กๆ น้อยๆ ราคาไม่แพง จากนั้นเดินต่อมาอีกไม่ไกล จะผ่านร้าน Mr.Simms Olde Sweet Shoppe เป็นร้านขนมหวาน ลูกอม ลูกกวาดหลากชนิดที่ตกแต่งร้านได้แบบน่ารักสุดๆ นอกจากซื้อช็อกโกแลตติดไม้ติดมือมาแล้ว ยังขอเขาถ่ายรูปเล่นอยู่ในร้านตั้งหลายช็อต คนขายก็ไม่ว่าอะไรแถมยิ้มแย้มและช่วยถ่ายให้เราด้วย
ร้าน Monocle Shop น่าจะเป็นอีกสถานที่ที่เป็นจุดมุ่งหมายของคนรักงานดีไซน์ เพียงแค่เดินขึ้นเนินไปที่ Star Street ก็จะเห็นป้ายร้านโดดเด่น ภายในตกแต่งโดยใช้แรงบันดาลใจและคอนเซปต์เดียวกับนิตยสาร Monocle ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ เรามาแถวนี้ทีไร ต้องมาแวะร้าน Jouer ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน เขาตกแต่งร้านได้ครีเอทีฟและโมเดิร์นสุดๆ ตั้งแต่แชนเดอเลียร์และโคมไฟหลากรูปแบบ โต๊ะวางของและตู้โชว์ที่บรรจุงานดีไซน์และอินสตอลเลชั่นต่างๆ ด้วยชื่อร้านที่แปลว่า ‘เล่น’ ในภาษาฝรั่งเศส ในร้านก็เลยมีขนมฝรั่งเศสหลายชนิด ที่ขึ้นชื่อก็มาการง สั่งมาทานกับชาหรือกาแฟ จะรู้สึกชิลจนไม่อยากลุกออกไปไหนแล้ว
พนักงานที่ร้าน Jouer เรียนถ่ายรูป เธอชอบถ่ายรูปเหมือนกัน เราก็เลยแลกอินสตาแกรมกัน เธอยังอธิบายวิธีขึ้นรถรางให้ฉันด้วย โดยบอกว่ารถรางเป็นระบบขนส่งมวลชนชนิดแรกของฮ่องกง แม้ว่าจะเปิดให้บริการมากว่าร้อยปีแล้ว แต่ทุกวันนี้รถรางก็ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ ซึ่งถ้าเราจะเที่ยวเล่นในย่านเก่าแก่อย่างวานไจ๋และเชิงหว่าน (Sheung Wan) การเดินทางแบบไหนจะเหมาะไปกว่ารถรางคงไม่มี
แน่นอนว่าเสร็จจากที่นี่ เรามุ่งหน้าไป PMQ ในย่านเชิงหว่านด้วยการนั่งรถราง โดยเลือกนั่งที่ชั้นบนเพราะสูงและเห็นวิวได้กว้างไกล แต่อย่าถ่ายรูปจนเพลิน ต้องสังเกตสองข้างทางให้ดีว่าจะลงตรงไหน เพราะเขาไม่มีประกาศชื่อสถานีเหมือนในรถไฟฟ้า
รถรางวิ่งมาตามถนน Des Voeux Road ฉันลงแถวๆ ธนาคาร Hang Seng สำนักงานใหญ่ เพื่อที่จะเดินไปทาง Central Market และขึ้นทางเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก Central-Mid-Levels Escalator ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง PMQ แลนด์มาร์กสุดครีเอทีฟของฮ่องกง สถานที่ซึ่งเคยเป็นแฟลตหรือที่พักอาศัยของตำรวจที่ทำงานในย่าน Central หรือที่เรียกว่า Police Married Quaters ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นดีไซน์สตูดิโอและป็อป-อัพสโตร์กว่าร้อยแบรนด์ ให้เหล่าดีไซเนอร์ท้องถิ่นและนานาชาติมาแสดงผลงานแบบเฉพาะตัว รวมไปถึงส่วนของแกลเลอรี่ ที่จัดแสดงนิทรรศการ เรสซิเดนซ์ ที่พักอาศัยสำหรับศิลปิน โดยในบางสัปดาห์จะมีการเปิด night market ให้คนที่รักการช้อปปิ้ง ศิลปะ งานดีไซน์ อาหาร และหลงใหลในประวัติศาสตร์มาเพลิดเพลินไปด้วยกัน
ที่ถนนด้านนอกของ PMQ นั้น ลักษณะจะเป็นเนินลาดชัน เรียกว่าชันพอๆ กับเวลาขึ้นดอยเลยก็ว่าได้ แต่รายล้อมไปด้วยร้านรวงน่ารักๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านตัดผม ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งร้านแบรนด์เนมก็ยังได้รับการตกแต่งแบบสร้างสรรค์ไม่เหมือนสาขาอื่นๆ นอกจากนี้ถ้าเรามีกำลังขามากพอที่จะเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามถนนแอนทีกอย่าง Hollywood Street และ Aberdeen Street เราก็จะพบเห็นร้านขายสมุนไพรจีน ตลาดอาหารทะเลตากแห้ง ร้านขายงานหัตถกรรม ร้านขายของตกแต่งบ้าน และตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล ซึ่งกรุ่นกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรมและวันเวลาเก่าๆ ของฮ่องกง แบบที่สามารถอยู่ร่วมกับวันเวลาปัจจุบันได้อย่างไม่เคอะเขิน
Travel Tips
– เรือสตาร์เฟอร์รี่ เชื่อมฝั่งเกาลูนและฮ่องกง เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1888
ฝั่งเกาลูน: ท่าเรือ Tsim Tsa Shui pier อยู่แถวหอนาฬิกา Clock Tower ถนน Salisbury Rd.
ฝั่งฮ่องกง: ท่าเรือ Wan Chai pier อยู่ Harbour Rd.
– เส้นทางเดินรถรางมี 6 สาย มีเฉพาะที่ฝั่งฮ่องกงเท่านั้นในย่านเก่าแก่อย่าง Western, Wan Chai, Causeway Bay, Happy Valley, Northpoint, Central เป็นต้น ขั้นตอนขึ้นรถรางให้อ่านป้ายหน้ารถว่าจะไปทางไหน เวลาขึ้น ให้ขึ้นที่ประตูหลังเท่านั้น เลือกที่นั่งชั้นล่างหรือชั้นบนก็ได้ พอจะลงก็กดกริ่งแล้วเดินมาที่ประตูหน้าข้างคนขับ แตะบัตร Octopus หรือหยอดเหรียญค่าโดยสารก็ได้ ราคาเดียวตลอดสาย 2.3 HKD เท่านั้น แต่ต้องเตรียมมาแบบพอดีเป๊ะๆ นะ เพราะเขาไม่มีทอน