เที่ยวเวียดนามถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากสำหรับการออกเที่ยวต่างประเทศสำหรับคนไทย (หลังเปิดประเทศในยุคโควิด) เพราะเป็นประเทศใกล้ๆ ใช้เวลาบินแค่ 2 ชั่วโมงนิดๆ สามารถเดินทางสะดวกด้วยสายการบินราคาประหยัด Thaivietjet ซึ่งกลับมาเปิดให้บริการเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – ดานัง เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา แถมค่าครองชีพในดานัง-ฮอยอันนั้น ถือว่าถูกกว่าที่ไทยเกือบทุกอย่าง เฟรนด์ลี่กับงบในกระเป๋าสตางค์ยุคโควิดมากๆ
ลาวีอองโร้ดเปิดประเดิมด้วยการพามาเที่ยวดานัง-ฮอยอัน เพราะเป็นสองเมืองในเวียดนามกลางที่ตั้งอยู่ใกล้กัน แต่เราจะได้รสชาติการท่องเที่ยวที่หลากหลาย สำหรับดานัง เป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของเวียดนาม ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว มีนักลงทุนเข้ามาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้ง่ายต่อการสัญจร เราจึงได้เห็นการใช้ชีวิตของคนเวียดนามยุคใหม่ ขณะเดียวกันก็มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ เยอะ ทั้งทะเล ภูเขา และที่สำคัญก็คือ บานา ฮิลส์ (Ba Na Hills) สถานที่ไฮไลท์ที่ทางการเวียดนามใช้งบลงทุนไปหลักพันล้านบาท
ส่วนฮอยอัน ใช้เวลาเดินทางโดยรถจากดานังเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่เราจะได้สัมผัสความเป็นเมืองมรดกโลกที่ผสมผสาน 3 วัฒนธรรม ได้แก่ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ซึ่งทิ้งร่องรอยความเจริญเอาไว้ในฐานะอดีตเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อผสมกับวิถีชีวิตของคนปัจจุบัน เลยกลายเป็นความชิค ความเก๋ ทั้งเสน่ห์ที่สวยงามของสถาปัตยกรรมที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี วิถีชาวบ้าน ร้านค้าขายผลงานศิลปะและงานฝีมือ ไปจนถึงคาเฟ่และร้านอาหารบรรยากาศดีรสชาติอร่อย
คนไทยบินเข้าเวียดนาม ใช้เอกสารอะไรบ้าง
ตามมาตรการอัปเดทล่าสุด15 พ.ค. 2565 เป็นต้นไป ประเทศเวียดนามยกเลิกข้อกำหนดการตรวจโรคโควิด-19 ก่อนเดินทางมาเวียดนาม คือ ไม่ต้องยื่นเอกสารผลตรวจโควิดใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องลงทะเบียนเข้าประเทศ คนไทยสามารถเดินทางท่องเที่ยวในเวียดนามได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าเป็นเวลา 30 วัน มีแค่พาสปอร์ตและเอกสารต่างๆ ดังนี้
- ใบรับรองการฉีดวัคซีน (International Vaccination Certificate) สามารถทำการขอเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (QR Code) จากแอปฯ หมอพร้อม
- ประกันสุขภาพหรือประกันเดินทางต่างประเทศ ที่ครอบคลุมการรักษาโรคไวรัสโควิด-19 วงเงินคุ้มครอง 50,000 USD สามารถซื้อผ่านเว็บของเวียตเจ็ทได้ที่นี่ https://th.vietjetair.com/insurance
———————————-
ดานัง กาลครั้งหนึ่งในฝรั่งเศสแห่งเวียดนาม
Ba Na Hills – สะพาน Dragon Bridge- My Khe Beach
วันแรกที่มาถึงเวียดนาม เราก็เดินทางมาที่บานา ฮิลส์ กันเลยค่ะ ที่นี่ต้องนั่งรถห่างออกมาจากตัวเมืองดานังสัก 40 กิโลเมตร เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวตากอากาศมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และเคยมีชาวฝรั่งเศสเข้ามาสร้างบ้านพักและวางระบบสาธารณูปโภคตั้งแต่สมัยอาณานิคม ในปี 1919 จนกระทั่งพอจบสงครามในปี 1945 ชาวฝรั่งเศสกลับประเทศไป พื้นที่แห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างไปหลายสิบปี พอเวียดนามมีการพัฒนาประเทศรวมถึงการท่องเที่ยวให้เจริญก้าวหน้า ทางการก็เลยตัดสินใจกลับมาฟื้นฟูบูรณะพื้นที่หุบเขาแห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งรีสอร์ท ร้านอาหาร สปา บาร์ และสวนสนุก ซึ่งเรากำลังนั่งกระเช้า (Cable car) ทะลุเมฆและไอหมอกขึ้นมาชมความงามของวิวทิวทัศน์และสัมผัสอากาศเย็นๆ กันในวันนี้
เราถามไกด์ว่าทำไมที่นี่ถึงเรียกว่า บานา ฮิลส์ เขาบอกว่า เหตุผลหนึ่งคือ แต่ก่อนแถวนี้มีต้นกล้วยเยอะ ชาวฝรั่งเศสจึงเรียกมันว่า Ba Na Hills ซึ่งย่อมาจากคำว่า Banane ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่ากล้วย
ที่เที่ยวใหม่เอี่ยมแห่งนี้เพิ่งเปิดตัวมาในปี 2561 ไม่ทันไรก็โดนพิษโควิดทำให้ร้างลานักท่องเที่ยวไป แต่ตอนนี้เราสามารถมาเที่ยวได้แล้ว จากตีนเขาของบานา ฮิลส์ เราจะต้องซื้อตั๋วเข้าชมซึ่งจะเป็นการจ่ายเพียงครั้งเดียว รวมทุกจุด สามารถเข้าชมการแสดง และเล่นเครื่องเล่นในธีมปาร์คได้ทุกอย่าง แล้วจะอยู่นานเท่าไรก็ได้ กระเช้าที่นั่งขึ้นไปจะมี 3 สาย ได้แก่ สายของโรงแรมเมอร์เคียว (Mercure Danang Ba Na Hills) ที่ขึ้นตรงไปยัง French Village (L’Indochine Station) สายหลัก Hoi An Station ที่พาไปแวะสวนดอกไม้ Marseille Station ก่อน และอีกหนึ่งสายคือ Dream Spring Station ที่จะไปแวะกลางทางที่ Ba Na Station
จุดสำคัญที่ห้ามพลาดมาถ่ายรูปเด็ดขาดเลยก็คือ Golden Bridge สะพานลอยฟ้าสีทอง โค้งยาวไปตามแนวเขา และมีอุ้งมือขนาดยักษ์ที่เหมือนแบกรับสะพานแห่งนี้เอาไว้ สร้างตามความเชื่อความศรัทธาในพุทธศาสนา เสมือนเป็นอุ้งมือของพระพุทธเจ้าที่โอบอุ้มดูแล ตรงนี้จะเห็นวิวท้องฟ้าและภูเขาสวยมากๆ อากาศก็เย็นสบายดีด้วยค่ะ สดชื่นจริงๆ
จากจุดนี้ เรานั่งกระเช้าต่อไปยังหมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village) เขาออกแบบมาได้ฟีลเหมือนเรากำลังเดินเข้าไปในหมู่บ้านฝรั่งเศสยุคกลาง มีโบสถ์ที่จำลองมาจากโบสถ์ Notre Dame ในกรุงปารีส พร้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ทุกอย่างเป็นฟีลยุโรปหมด เหมือนเรามาซ้อมเที่ยวก่อนไปยุโรปเลยค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมีสวนดอกไม้ Le Jardin d’Amour ที่แปลว่าสวนแห่งความรัก รวมสวนดอกไม้ 9 โซนที่ออกมาต่างคอนเซ็ปต์กันออกไป แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว ก็ต้องไม่พลาดไปสวนสนุกที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth และ Twenty Thousand under the Sea กันด้วย ทั้งรถบั๊ม บ้านผีสิง ถ้ำไดโนเสาร์ และที่พวกเราชอบมากๆ เลยก็คือ Alpine Coaster เป็นเครื่องเล่นกลางแจ้ง รถเคลื่อนไปตามรางด้วยแรงโน้มถ่วงและการบังคับของเรา ซึ่งเราจะได้ชื่นชมวิวสวยๆ รอบหุบเขาบานา ฮิลส์ แบบแทบจะ 360 องศา
Bana Hills เปิดทำการ 7.30-21.00น.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://banahills.sunworld.vn/en
ค่ากระเช้าลอยฟ้าไป-กลับ ราคา 650,000 ดอง
ในวันรุ่งขึ้น เราเอาใจสายมูด้วยการพามาไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนขนาดความสูงเท่ากับตึก 30 ชิ้น ที่ เจดีย์ Linh Ung Bai But Pagoda บริเวณแหลมซอนทรา (Son Tra Peninsula) ซึ่งเป็นอีกจุดชมวิวที่สวยมากๆ ของเมืองดานังอีกด้วย เนื่องจากอยู่บนระดับความสูงเหนือน้ำทะเลถึง 200 เมตร ชาวดานังเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ช่วยปกปักรักษาเมืองดานังจากภัยธรรมชาติและพายุไต้ฝุ่น เพราะหลังจากที่สร้างเสร็จในปี 2010 ดานังก็ไม่เคยประสบภัยธรรมชาติอีกเลยร่วมสิบปีแล้ว
ไกด์ให้ข้อมูลว่า ส่วนใหญ่คนนิยมมาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม และสมปรารถนาในเรื่องการงาน การทำมาค้าขาย แคล้วคลาดจากภัยอันตราย และเรื่องการขอบุตร แน่นอนค่ะว่าทั้งเราและเพื่อนร่วมทริปต่างก็จุดธูปคนละ 3 ดอก และขอพรกันไปหลายเรื่องเลยทีเดียว
เจดีย์ Linh Ung Bai But Pagoda
เปิด 7.00-21.30น. ไม่เสียค่าเข้าชม
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองดานัง เราคิดว่าถ้ามีเวลาไม่มาก การมาเดินเที่ยวบนถนนบักดัง (Bach Dang Street) ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเป็นถนนที่ทอดยาวไปตามแม่น้ำหาน (Han River) เราจะได้เห็นทั้งแลนด์มาร์กของเมืองอย่าง สะพานมังกร (Dragon Bridge) ที่เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในเวียดนาม ด้วยความยาว 666 เมตร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบอิสรภาพของเมืองดานังครบ 38 ปี ซึ่งในช่วงค่ำของทุกวันจะมีการแสดงแสง สี เสียง สุดยิ่งใหญ่ มีโชว์เอฟเฟ็กต์มังกรพ่นน้ำ พ่นไฟ
ใกล้ๆ กันนั้นยังมี Dragon Carp ซึ่งดูคล้ายเมอร์ไลออนของสิงคโปร์เหมือนกัน แต่ของเวียดนามเขาเรียกว่าประติมากรรมปลามังกร สร้างจากหินอ่อนสีขาวตามธรรมชาติด้วยฝีมือของช่างจากหมู่บ้านแกะสลัก Non Nuoc ถึง 30 คน ใช้เวลา 3 เดือนในการสร้าง โดยมีความสูงอยู่ที่ 7.5 เมตร และหนักถึง 200 ตัน
และด้วยความที่ถนนบักดังนี้ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงเป็นท่าเรือขนย้ายสินค้าที่คึกคัก บริเวณนี้จึงมีตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ด้วย มีอาหารทานเล่นมากมาย แล้วก็ยังมีโซนที่เต็มไปด้วยร้านขายดอกไม้ เหมือนปากคลองตลาดย่อมๆ นอกจากนี้ก็ยังมีคาเฟ่และร้านเบเกอรี่ดีๆ หลายร้าน อ้อ! แล้วอย่าลืมเดินไปชม โบสถ์สีชมพู Da Nang Cathedral โบสถ์เก่าแก่อายุกว่าร้อยปีที่ยังมีสภาพสวยงามและสมบูรณ์มาก เสียดายที่เขาไม่ให้เข้าไปชมด้านใน
ปิดท้ายด้วย My Khe Beach ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พักของเราที่ดานัง หลายคนยกให้ที่นี่เป็นชายหาดที่สวยที่สุดในเวียดนามเลยทีเดียว มีน้ำทะเลสีฟ้าสวยใส เหมาะกับการลงเล่นน้ำ หรือเล่นเรือกระด้ง (เรือแบบเวียดนามสไตล์) หรือจะแค่เอาเท้าเปล่าไปเดินย่ำทราย ก็บอกได้เลยว่าทรายเขาละเอียดนุ่มเท้าที่สุดแห่งหนึ่งตั้งแต่เราเคยเดินชายหาดมาเลยค่ะ
ที่พักแนะนำ: Four points by Sheraton Danang โรงแรมใกล้ชายหาดหมีเคว (My Khe) อันโด่งดังของเวียดนาม สามารถมองเห็นวิวทะเลและพระอาทิตย์ได้จากห้องพักบนตึกสูง พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีบุฟเฟต์อาหารเช้าแบบจัดเต็ม และยังมีบาร์ที่มองเห็นวิวยามค่ำคืนสุดโรแมนติก
——————————–
ฮอยอัน เมืองมรดกโลกที่ยังคงมีลมหายใจ
นั่งรถสามล้อชมเมืองเก่า – สะพานญี่ปุ่น – ล่องเรือตะกร้าชมสวนมะพร้าว – สวนสนุก VinWonders Nam Hoi An – ชมการแสดง Hoi An Impression Show
คนไทยส่วนใหญ่รู้จักเมืองฮอยอันจากละครเรื่อง ‘ฮอยอัน ฉันรักเธอ’ ที่นี่คือเมืองในจังหวัดกว๋างนาม (Quangnam) ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวสายวัฒนธรรมมากๆ เพราะตึกในย่านเมืองเก่าทั้งเมืองนั้นแทบจะฉาบไปด้วยสีเหลืองมัสตาร์ดเกือบทั้งหมด ประดับด้วยโคมไฟกระดาษตามสไตล์เวียดนาม โดยมีแสงแดดส่องลงแม่น้ำระยิบระยับ โรแมนติกมาก เอกลักษณ์คือ Cyclo รถสามล้อแบบเวียดนาม ใครขี้เกียจเดิน สามารถใช้บริการรถที่ว่านี้หรือเช่าจักรยานปั่นชมเมืองได้ด้วยล่ะ
นอกจากคาเฟ่เก๋ แกลเลอรี่ และร้านขายงานฝีมือต่างๆ แล้ว ยังมีตลาดสดที่ขายของกินและเสื้อผ้า รองเท้า แต่ว่าจุดแลนด์มาร์คใน เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป ก็คือ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Bridge) ที่สร้างโดยชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1593 ที่มาลงหลักปักฐานอยู่ในฮอยอัน เป็นสะพานที่เชื่อมชุมชนชาวญี่ปุ่นและชาวจีนเข้าด้วยกัน บนสะพานจะมีศาลเทพเจ้าอายุร้อยกว่าปี ประดิษฐานอยู่ด้วย และในช่วงกลางคืน ย่านเมืองเก่านี้ก็จะมี Night Market ซึ่งจะเปลี่ยนฟีลลิ่งไปเลย มีบาร์เก๋ๆ มีของมาขาย ถือว่าเป็นจุดที่พลาดไม่ได้อีกแห่ง ลองไปซื้อชุดประจำชาติเวียดนามอย่าง ชุดอ๋าวหญ่าย มาใส่เดินถ่ายรูปเล่นสักวันในย่านนี้ จะรู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นเวียดนามจริงๆ
สำหรับคนที่มองหากิจกรรมสนุกๆ ในฮอยอันก็มีสวนสนุกที่ชื่อว่า VinWonders Nam Hoi An ซึ่งนอกจากเครื่องเล่นสุดหวาดเสียวแล้ว ก็ยังมีโซนสวนน้ำพร้อมสไลเดอร์ขนาดยาว ต่อด้วยโซนสวนสัตว์ (River Safari) ที่เราต้องนั่งเรือไปชม และโซนวัฒนธรรมที่อธิบายความเป็นมาและจุดเด่นของเมืองฮอยอันได้ดี โดยเฉพาะศิลปะการทอผ้าไหม ที่จะมีคนมาสาธิตการทอให้เราได้ชม พร้อมเลือกซื้อชิ้นงานที่ถูกใจกลับไปฝากคนที่บ้านได้ด้วย
แต่กิจกรรมที่เราชอบมากเลย ก็คือ การนั่งเรือ Bamboo Basket Boat ที่ Cam Thanh Coconut Forest ลักษณะจะเป็นเรือกระด้งหรือเรือตะกร้าไม้ไผ่สานครึ่งวงกลม ทาน้ำยาเคลือบกันน้ำ เกิดจากไอเดียของชาวฝรั่งเศสที่คิดค้นทำพาหนะไว้ใช้สัญจรและขนของในเวียดนามเมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ เป็นเรือที่หมุนได้ 360 องศา จึงชมธรรมชาติรอบตัวได้สะดวก เขาจะพาเราล่องไปตามแม่น้ำ Thu Bon ชมสวนมะพร้าว และยังสร้างสีสันให้นักท่องเที่ยวได้ด้วยโชว์ Boat Dance พาเรือหมุนควงสว่านไปรอบๆ ประกอบเพลงแดนซ์มันๆ ให้เราได้กรี๊ดกร๊าดกันอีกด้วย โดยการล่องเรือจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที เรือ 1 ลำ นั่งได้ 2 คน บนเรือมีบริการเสื้อชูชีพ ค่านั่งเรือคนละ 200,000 ดอง
ปิดท้ายด้วยการชมการแสดง Hoi An Memories show (The real world performance) ในโรงละครแบบเอาท์ดอร์ที่ใหญ่โตมหึมาราวกับสนามกีฬาหรือโรงละครโรมันโบราณที่จุผู้ชมได้ถึง 3,300 คน มีทั้งภูเขาและแม่น้ำเป็นฉาก พร้อมด้วยแสงสีเสียงอลังการ นำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของฮอยอัน ซึ่งเราประทับใจในความจัดเต็ม ความพร้อมเพรียงของนักแสดงกว่า 500 คน เป็นหนึ่งในการแสดงที่เราบอกได้เลยว่าคุ้มค่ากับการมาชม และทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นมาของฮอยอันได้ดีขึ้น และก็เที่ยวเมืองแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้สนุกขึ้นด้วย
ที่พักแนะนำ: Vinpearl Resort & Spa Hoi An รีสอร์ทในเครือ Vin Group ที่มีทั้งสนามกอล์ฟและสวนสนุก ที่นี่เหมาะกับการมาพักผ่อนแบบครอบครัว เพราะนอกจากห้องพักกว้างขวางและมีหลาย type ให้เลือกตามความเหมาะสมแล้ว ยังมี facilities มากมาย มีฟิตเนส สนามเทนนิส รวมถึงสระว่ายน้ำที่ใหญ่มาก อยู่ติดหาด Cua Dai Beach นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารเช้าที่ใหญ่โต รองรับแขกได้เยอะมากๆ
มาตรการเดินทางกลับเข้าประเทศไทย สำหรับคนไทย (อัพเดทตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป)
- ต้องลงทะเบียน Thailand Pass ก่อนออกเดินทาง โดยใช้เวลา approve ประมาณ 3-7 วัน
- สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถเข้าประเทศไทยในรูปแบบ Test and Go โดยไม่จำเป็นต้องทำการตรวจหาเชื้อโควิดก่อนบิน แต่ต้องมาตรวจมื่อเดินทางถึงไทย โดยมีหลักฐานชำระค่าโรงแรม 1 คืน รวมค่าตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR ค่าชุดตรวจ ATK ด้วยตนเองในวันที่ 5 และค่ายานพาหนะรับส่งจากสนามบิน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในดานังได้ที่ Da Nang Tourism และการท่องเที่ยวในฮอยอัน สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ Quang Nam Tourism