หลายคนเคยได้ยินคำว่า Top of Europe ถูกใช้เป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวของยอดเขาหลายๆ ลูกในยุโรป เช่น Zermatt, Jungfrau ในสวิตเซอร์แลนด์ หรือ Mont Blanc ในฝรั่งเศส จนบางทีเริ่มงงว่า สรุปแล้วตรงไหนคือจุดสูงสุดของยุโรปกันแน่
ความจริงแล้วก็คือ เทือกเขาแอลป์ นั้นเป็นเทือกเขาสำคัญที่มีชื่อเสียง พาดผ่านหลายประเทศในยุโรป และยอดเขาแต่ละลูกก็ถูกตั้งชื่อต่างกัน และมีความงามในมุมที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งคำว่า Top of Europe ของยอดเขา อาจหมายถึง จุดที่คนขึ้นไปได้สูงที่สุด (โดยไม่ต้องปีนเขา) หรือสถานีเคเบิ้ลที่สูงที่สุดก็ได้
แต่หากจะหมายความถึงยอดเขาที่สูงที่สุดโดยวัดจากความสูงของระดับน้ำทะเลแล้วละก็ Mont Blanc ในประเทศฝรั่งเศส คือจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ มีความสูงอยู่ที่ 4,810 เมตรจากระดับน้ำทะเล เรียกว่าสูงที่สุดในยุโรป และสูงเป็นอันดับที่ 11 ของโลก
มงต์บลองค์ (Mont Blanc) ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าภูเขาสีขาว หมายถึงสีของหิมะที่ปกคลุมยอดเขาอยู่ตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ที่เมืองชาโมนีซ์ (Chamonix) เมืองพักตากอากาศสุดหรูของฝรั่งเศสที่อยู่ใกล้ชายแดนสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี แต่ละปีจะมีผู้นิยมไปเล่นกีฬาฤดูหนาวอย่างสกีและสโนว์บอร์ดกันอย่างไม่ขาดสาย
ฉันปักหมุดไว้หลายปีมากแล้ว ตั้งแต่ได้เห็นสารคดีที่นักปีนเขาไปพิชิตยอดมงต์บลองค์ คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเห็นกับตาให้ได้ อยากรู้ว่าไปยืนในจุดที่สูงมากๆ แล้วจะรู้สึกอย่างไร
ฉันไม่ใช่คนที่กลัวความสูง แต่ก็ไม่ใช่ขาลุยที่กล้าบ้าบิ่นอะไร แค่อยากทำอะไรที่ได้ต่อสู้กับใจตัวเองบ้าง อยากลองยืนแล้วเห็นเมฆในระยะใกล้ๆ แบบที่ไม่มีกระจกเครื่องบินกั้น อยากเห็นแสงอาทิตย์กระทบกับแสงของหิมะ ให้มันเจิดจ้าจนแสบตา นี่แหละ แรงบันดาลใจที่พาฉันมาที่นี่
วิธีการเดินทางไปเมืองนี้ไม่ยากเลย สำหรับคนที่เดินทางจากภายในประเทศฝรั่งเศสอยู่แล้ว สามารถไปโดยรถไฟหรือรถบัสก็ได้ ลงสถานี Chamonix Mont Blanc แต่สำหรับฉันครั้งนี้เดินทางไปจากสวิตเซอร์แลนด์ ก็สามารถไปได้ 2 แบบเช่นกัน
1.บริการรถมินิบัสของเอกชน รับส่งจากสนามบินเจนีวาไปถึงชาโมนีซ์ โดยมีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ในสนามบิน (มีให้เลือกหลายบริษัทมากๆ เช่น Chamexpress ไปกลับราคาประมาณ 70 ยูโร)
2.นั่งรถไฟ Chamonix Express ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่มีวิวสวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ฉันเลือกนั่งรถไฟ Chamonix Express ไม่ใช่แค่เพราะวิวสวยอย่างเดียว แต่สำหรับคนที่มีสวิสพาส (Swiss Travel Pass) บัตรเดินทางทั่วสวิส สามารถใช้ตั๋วนี้ขึ้นรถไฟไปได้ถึงชาโมนีซ์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมเลย แม้ว่าจะอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศฝรั่งเศสก็ตาม
ไม่ว่าเราจะพักอยู่เมืองใดในสวิส อันดับแรกเราต้องนั่งรถไฟไปลงที่เมือง Martigny ก่อน เพื่อต่อรถไฟ Chamonix Express ไปลงที่ Vallorcine ซึ่งตรงนี้จะถือว่าเข้าเขตประเทศฝรั่งเศสแล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนแล้วต่อไปยังสถานี Chamonix Mont Blanc
ขอยืนยันว่าวิวสองข้างทางรถไฟสายนี้สวยมากจริงๆ เพราะวิ่งผ่านทั้งทะเลสาบ ผ่านหุบเขา และมีแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านต้นสนที่เรียงกันเป็นทิวแถว สีสันของธรรมชาติ ทั้งส้ม เขียว น้ำตาล ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นการบิลท์ก่อนไปเจอภูเขาหิมะได้อย่างน่าตื่นเต้น
ถึงแม้การนั่งรถไฟจะไม่ได้เวียนหัวเท่ากับการนั่งรถยนต์หรือรถบัส (ลองคิดถึงความรู้สึกเวลานั่งรถขึ้นดอยทางภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ก็ได้) แต่รถไฟก็วิ่งด้วยความเร็วสูง และด้วยทางที่โค้งไปโค้งมา เดี๋ยวสักพักลอดเข้าถ้ำ สักพักออกมาเจอแสง สลับไปสลับมาแบบนี้ สุดท้ายเราก็จะเวียนหัวโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี ฉะนั้นใครมียา กินยาค่ะ
อารมณ์แรกของการมาถึงเมืองชาโมนีซ์ เรารู้สึกว่าที่นี่เป็นเมืองน่ารัก ไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนของเมือง ก็จะมองเห็นภูเขาหิมะเป็นฉากหลังหมดเลย และเราก็โชคดีเหลือเกินที่มาถึงในวันมีแดด อากาศดี น่าเดินเล่น เอาจริงๆ ร้านรวงในตัวเมืองชาโมนีซ์ ทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือร้านขายของที่ระลึก ก็น่าเดินดู น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าภูเขาหิมะ เพราะฉะนั้นเผื่อเวลาไว้สำหรับตรงนี้ด้วย
ภารกิจแรกของฉันที่มงต์บลองค์คือการขึ้นไปที่จุดสูงสุดของยอดเขามงต์บลองค์ ด้วยการนั่งเคเบิ้ลไฟฟ้าสู่สถานี เอกุยล์ ดู มีดี (Aiguille du Midi) เขาเคลมว่านี่เป็นกระเช้าที่สูงและชันที่สุดในโลก ริเริ่มการสร้างตั้งแต่เมื่อปี 1909 แต่กว่าความพร้อมของเทคโนโลยีจะมาถึง ก็ใช้เวลาถึง 31 ปี ถึงจะสร้างสำเร็จ และเปิดใช้ในปี 1955 โดยมีความสูงอยู่ที่ 3,842 เมตร และจากสถานีนี้ เราจะมองไปเห็นยอดเขามงต์บลองค์ได้อย่างชัดเจน
ราคาตั๋วเคเบิ้ลไปกลับ Aiguille du midi-Chamonix อยู่ที่ 60 ยูโร แต่ถ้าเพิ่มอีกแค่ 2 ยูโร เป็น 62 ยูโร เราจะได้ตั๋วแบบ Unlimited for 1 day มาครอง ฉันก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วแบบ unlimited เพราะสามารถขึ้นเขาได้ทุกลูกในเมืองชาโมนีซ์ แถมยังครอบคลุมไปถึงภูเขาของเมืองรอบข้างอย่าง Courmayeur ในอิตาลีและในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย (เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย เพราะหลายๆจุดปิดเร็วมาก แค่สามสี่โมงเย็นก็ปิดหมดแล้ว ฉะนั้นควรมาเช้าๆ จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ)
สำหรับคนที่ตั้งใจมาเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด ไม่จำเป็นต้องขึ้นยอด Aiguille du midi ก็ได้ ให้เช็คแผนที่โซนสกีได้ที่ Tourism office หรือช่องขายตั๋วว่าโซนไหนเปิด โซนไหนปิด ตามแต่สภาพอากาศของแต่ละวัน ซึ่งแต่ละยอดจะมีบอกความสูงเอาไว้ สามารถเลือกได้ตามเลเวลฝีมือการเล่นสกีของเราเอง และซื้อตั๋วเฉพาะโซนนั้นๆ ก็ได้ จะได้ไม่เปลืองเงิน เพราะยอด Aiguille du midi เป็นยอดสูงสุดและราคาแพงที่สุด ถ้าไม่ได้คิดจะขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋ว unlimited ให้เปลือง
แต่สำหรับฉัน มาถึงแล้วก็ต้องขึ้นไปดูให้ได้ โดยไปยืนต่อคิวรอขึ้นเคเบิ้ลที่จุคนได้ถึง 72 คน แต่ละคนก็พยายามจับจองพื้นที่ริมหน้าต่างเพื่อจะได้ดูวิว ต้องบอกว่าเคเบิ้ลสูงชันแบบเกือบตั้งฉากและลากกระเช้าแสนหนักหน่วงเคลื่อนตัวไปค่อนข้างเร็ว (140 เมตร/นาที) ใครกลัวความสูง ด่านนี้ถือเป็นด่านยาก เพราะมองลงไปข้างล่างจะรู้สึกเหมือนเรากำลังลอยเคว้งอยู่กลางท้องฟ้า และจะมีจังหวะที่เคเบิ้ลทำเราเสียวท้องเป็นระยะๆ เหมือนนั่งเครื่องเล่นในสวนสนุก น่าตื่นเต้น น่าสนุก แต่ก็น่ากลัวเบาๆ
ด้วยความที่ยอดเขาสูงมาก ระหว่างทางจึงมีการแวะจอดเปลี่ยนเคเบิ้ล 1 ครั้งที่สถานี Plan des Aiguilles ที่ความสูง 2,310 เมตร หลายคนจึงนิยมมาโดดร่มกันที่สถานีนี้ ส่วนฉันนั่งเคเบิ้ลต่อไปยัง Aiguille du Midi ที่ความสูง 3,842 เมตร
และเมื่อขึ้นมาถึง ภาพแรกที่เห็นคือ ท้องฟ้า เมฆ ภูเขา และหิมะ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างกับอยู่บนสวรรค์ ฉันยืนกวาดสายตามองไปรอบตัวเหมือนโดนมนต์สะกด แสงอาทิตย์แรงกล้ามากๆ จนแสบตา ชนิดที่ว่าครีมกันแดด SPF 50 ก็เอาไม่อยู่ แต่ว่าอากาศก็หนาวเย็นราวๆ 3-4 องศาเซลเซียส รู้สึกอยากยืนอยู่นิ่งๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ
ข้างบนมีอะไรทำบ้าง ถ้าอันที่ป็อบปูลาร์สุดๆ ก็ต้องจุดที่เป็นกระจกใสยื่นออกไปกลางอากาศ ให้คนไปยืนถ่ายรูป เขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้เราเปลี่ยนรองเท้าก่อนออกไปยืน และถ่ายรูปให้เรา แต่ฉันว่ามันกดดันไปหน่อย เพราะมีสายตานักท่องเที่ยวที่ต่อแถวรอถ่ายรูป มองมาที่เรากันหมด โพสไม่ค่อยออกเลย
นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหารที่แน่นอนว่าราคาแพงสุดๆ แต่วิวก็สวยคุ้มค่า ที่เหลือก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาของภูเขา และรายชื่อนักปีนเขาที่เคยขึ้นมาพิชิตบนยอดแห่งนี้ ต่อด้วยจุดถ่ายรูป และลานนั่งชมวิว ซึ่งเราจะต้องเดินขึ้นบันไดโปร่งๆ ต่อไปอีก ทำให้เวลาก้าวไปแต่ละขั้น จะมองลงไปเห็นแต่ความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แถมลมที่พัดมาก็แรงมาก ฉันรู้สึกขาไร้เรี่ยวแรงและก้าวไม่ค่อยออกจนต้องเอามือเกาะราวบันไดและเดินช้าๆ รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว ลมจะพัดฉันตกจากภูเขาไปเป็นฝุ่นเล็กๆ เมื่อไรก็ได้
อิ่มอกอิ่มใจแล้วก็นั่งเคเบิ้ลกลับไปด้านล่าง เพื่อไปยังเป้าหมายต่อไป นั่นคือธารน้ำแข็ง (Mer de glace) ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเทือกเขาแอลป์ ซึ่งเราต้องนั่งรถไฟจากสถานีใจกลางเมืองต่อไปยัง Montenvers แล้วต่อเคเบิ้ลลงไปด้านล่าง แต่เคเบิ้ลจะลงไม่สุดถึงตีนเขา เราต้องเดินลงบันไดอีกเป็นร้อยๆ ขั้น เพื่อไปพบกับทะเลน้ำแข็ง และถ้ำน้ำแข็ง
บอกเลยว่าตรงนี้ใครไม่ฟิตจริงอย่ามา เพราะขาลงนั้นไม่เท่าไร แต่ขาขึ้นบันไดกลับไป ทุกคนจะมีอาการเดียวกันคือ เดินไปอ้าปากไป และเหงื่อไหลแฉะเต็มหลังทั้งๆ ที่อุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียว มันเหนื่อยโฮกกกกกกก
แต่ความงามอลังการของทั้งมงต์บลองค์และธารน้ำแข็ง ก็คุ้มค่ากับความพยายามให้เราเดินทางมาสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ด้วยตัวเอง นักเขียนที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายๆ คนเคยเดินทางมาที่นี่และได้แรงบันดาลใจกลับไปสร้างสรรค์เป็นบทกวีและวรรณกรรมหลายต่อหลายเล่ม ที่โด่งดังมากๆ ก็อย่างเช่น แฟรงเคนสไตน์ กับบทกวีโรแมนติก ของ Percy Shelly ที่บรรยายถึงความงามและความยิ่งใหญ่ของมงต์บลองค์เอาไว้ เมื่อครั้งที่เขามาเยือนที่นี่ในปี 1816
ฉันก็เลยจดบันทึกบทนี้บ้าง เพื่อจะได้จดจำความรู้สึกในวันที่ขึ้นมายืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป
[…] ตามไปยืนใกล้ๆ พระอาทิตย์บนยอดเขา Mont … […]
[…] อ่านเพิ่มเติม > ตามไปยืนใกล้ๆ พระอาทิตย์บนยอดเขา Mont … […]