วิถีชนบททางตอนใต้ของฝรั่งเศสนี่มีเสน่ห์เอามากๆ วันนี้ La Vie en Road พามาเที่ยวเมืองอาร์ลส์ (Arles) เมืองนี้ออกเสียงยากนิดนึงและหลายคนจะงงว่าเมืองอะไรเหรอ แต่ถ้าบอกว่าที่นี่เป็นเมืองในแคว้นโพรวองซ์ อยู่ใกล้กับมาร์เซยย์ (Marseille) และอาวิญง (Avignon) ซึ่งเป็นเมืองที่จิตรกรเอกของโลกอย่างแวน โก๊ะ (Van Gogh) เคยมาใช้ชีวิตอยู่ และก็เป็นช่วงชีวิตที่เขาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเอาไว้เยอะที่สุดด้วย หลายคนอาจจะร้องอ๋อกันขึ้นมาบ้าง
ที่เราชอบวิถีชนบทเพราะเราเกิดและโตที่กรุงเทพฯ อยู่กับรถติด อากาศเสีย และความวุ่นวายของเมืองหลวงมาตลอด การมาเที่ยวทางใต้ฝรั่งเศสคนเดียวจึงเหมือนมาชาร์ตแบตทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะที่เมืองเล็กๆ อย่างอาร์ลส์ ซึ่งมีแต่ธรรมชาติ ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ มีแต่ซูเปอร์มาร์เก็ต กับตลาดที่ชาวบ้านนำของที่ทำเอง ปลูกเอง ออกมาขาย ขนาดเราพักที่โรงแรมใจกลางเมือง แบบไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไรเลย ก็ยังรู้สึกว่าบ้านเมืองเขาเงียบสงบจริงๆ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่อากาศเย็นสบาย เราสูดอากาศหายใจแบบเต็มปอด ที่หายใจได้เต็มที่ขนาดนี้ก็เพราะว่าเมืองอาร์ลส์ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้ามากๆ รถส่วนใหญ่ใช้พลังงานแบบเป็นมิตรกับธรรมชาติ ไม่มีการบีบแตรใส่ ถ้าเราเดินอยู่ตรงซอกตึกแคบๆ แล้วมีรถวิ่งสวนมา เขาจะต้องหยุดและชิดฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ให้เราเดินผ่านไปก่อน (ผิดกับกรุงเทพฯอย่างแรง)
วิธีการมาเมืองนี้ไม่ยากอย่างที่คิด สนามบินที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่มาร์เซยย์ จากที่นั่นจะนั่งรถไฟหรือรถบัสมาที่อาร์ลส์ก็ได้ แต่สำหรับใครที่นั่งรถไฟ TGV มาจากเมืองใดก็ตามในยุโรป สามารถมาลงที่สถานี Arles เลยก็ได้ อาจจะต้องเปลี่ยนขบวนรถบ้างตามเมืองใกล้เคียง และรอบรถไฟก็จะไม่ค่อยถี่นัก นอกจากนี้ก็ยังมีออพชั่นคือ เช่ารถขับ ซึ่งมีข้อดีก็คือสามารถไปเที่ยวไหนต่อไหนในโพรวองซ์ก็ได้ตามใจ ไม่ต้องมานั่งรอรถไฟ แล้วถนนก็ขับง๊ายง่าย…
—————————-
ตามรอยแวน โก๊ะ
เริ่มแรกเราอยากให้ทุกคนไปที่พิพิธภัณฑ์แวน โก๊ะ ก่อน ที่นั่นจัดแสดงผลงานศิลปะมากมายของแวน โก๊ะ แล้วก็มีนิทรรศการหมุนเวียนจากศิลปินอื่นๆ ที่น่าสนใจ ผลัดเปลี่ยนกันมา มีโซนขายของที่ระลึก ทั้งหนังสือชีวประวัติ หนังสือภาพศิลปะ ให้เราได้รู้จักชีวิตของศิลปินเอกคนนี้ รวมถึงช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แล้วก็รู้จักงานของเขามากขึ้นด้วย นอกจากนี้ก็มีของกระจุกกระจิกต่างๆ เกี่ยวกับแวน โก๊ะ น่ารักมาก
2. Espace Van Gogh
โรงพยาบาลที่แวน โก๊ะ เคยมาพักรักษาตัวเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ตรงประตูทางเข้าจะเห็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับแวน โก๊ะ อยู่ที่พื้น และเมื่อเดินเข้าไปข้างใน จะเห็นสวนสวยที่ยังคงสภาพเดิม เหมือนอย่างที่เคยปรากฏในภาพ Garden of the Hospital in Arles ที่เขาวาดเอาไว้ ที่นั่นมีร้านขายโปสการ์ดและของที่ระลึกเกี่ยวกับแวน โก๊ะ เยอะมาก เตรียมกระเป๋าตังค์ไว้
3. Cafe la Nuit
ร้านกาแฟแห่งนี้เคยปรากฏอยู่ในภาพ Terrasse de café de nuit ที่แวน โก๊ะ วาดเอาไว้เมื่อปี 1888 ร้านทาผนังด้วยสีเหลืองสดใสเหมือนเดิมไม่มีผิด ตัดกับเฟอร์นิเจอร์กำมะหยี่สีแดงเข้ม เสิร์ฟทั้งอาหารและกาแฟ เปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึงเที่ยงคืน
4. The Yellow House
บ้านสีเหลืองตรงนี้คือบ้านที่แวน โก๊ะ เคยอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ กับพอล โกแกง ในช่วงปี 1888 เขาเช่าห้อง 4 ห้องที่ปีกตะวันออกของอาคาร ใช้เป็นสตูดิโอห้องเขียนภาพ และห้องจัดแสดงภาพด้วย จะบอกว่าผลงานภาพศิลปะมากมายของแวน โก๊ะ ที่โด่งดังทั้งหลาย เขาใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นที่สร้างสรรค์นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุการณ์สำคัญอย่างการที่เขามักจะทะเลาะกับโกแกงบ่อยในบ้านหลังนี้ มีอยู่วันหนึ่งที่พวกเขาทะเลาะกันหนักมาก จนโกแกงออกจากบ้านไปนอนโรงแรม แวน โก๊ะ ได้ใช้มีดโกนตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเอง แล้วส่งใบหูเปื้อนเลือดห่อกระดาษส่งไปให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่สถานบริการที่เขาและโกแกงเคยไปเที่ยวด้วยกัน หลังจากนั้นโกแกงก็กลับปารีสและไม่มาพบแวน โก๊ะอีก ขณะที่ตัวแวน โก๊ะเองก็ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยอาการประสาทหลอน
5. The Starry Night
นี่คือหนึ่งในภาพที่โด่งดังที่สุดของแวน โก๊ะ เลยก็ว่าได้ และจุดที่เขาวาดภาพนี้ก็อยู่ริมแม่น้ำโรห์น (Rhône) แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในฝรั่งเศสซึ่งไหลผ่านเมืองอาร์ลส์นี้เอง เขาใช้เวลาวาดภาพนี้กว่า 1 ปีเต็ม ช่วงปี 1889 โดยถ่ายทอดท้องฟ้ายามค่ำคืนซึ่งมีแสงดาวระยิบระยับ แข่งกับแสงไฟจากบ้านเรือน
- อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Van Gogh ได้ที่ > เข้าใจความหมายของสีเหลืองในภาพวาดแวน โก๊ะ ก่อนไปดูนิทรรศการที่ริเวอร์ ซิตี้
—————————-
ตามหาแมวโรมัน
อาร์ลส์คืออีกเมืองหนึ่งที่ยังคงหลงเหลืออารยธรรมเก่าแก่ของโรมันเอาไว้ให้ดูมากที่สุด ขนาดว่าได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1981 ดังนั้นเดินไปไหนในเมืองก็จะยังได้เห็นตึกรามบ้านช่องมีกลิ่นอายของโรมันอยู่ ถ่ายรูปสวยเชียว
สถานที่โรมันต่างๆ เราสามารถเดินเที่ยวถึงกันได้หมด แต่สิ่งที่เราชอบมากๆ ก็คือ แต่ละสถานที่เก่าแก่พวกนี้ มันมีฝูงแมวมาอาศัยอยู่เยอะมาก แมวฝรั่งเศสขนพองๆ นุ่มๆ ตัวอ้วนๆ น่ารักมากกกก
เริ่มจากลานกว้าง Place de la République ซึ่งมีเสาโอเบลิสก์อยู่ตรงกลาง ใกล้ๆ นั้นจะเห็น Hôtel de Ville (ศาลากลางจังหวัด) ที่ด้านบนมีหอระฆัง ตอนเราเดินไปเห็นฝูงนกบินออกมาจากหอระฆังพอดี ตัดกับฟ้าใสๆ เป็นภาพที่สวยมาก
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จะมาเจอโรงละครโรมัน เมื่อก่อนเป็นโรงละคร 3 ชั้น จุคนดูได้ประมาณ 10,000 คน สิ่งที่น่าทึ่งก็คือเรื่องของอะคูสติก หรือการออกแบบเรื่องเสียง เขาสามารถทำการแสดงได้โดยไม่ต้องใช้ไมค์หรือเครื่องเสียงใดๆ และคนดูที่นั่งอยู่แถวหลังสุดก็ยังได้ยิน ระหว่างเดินสำรวจ จะมีแมวกระโดดตัดไปตัดมา มันขี้เล่นมาก
ต่อด้วย Amphithéâtre Romain หรือ Les Arènes สนามกีฬาโบราณที่เคยใช้เป็นสนามสู้วัวกระทิงในสมัยโรมัน จุคนได้ถึง 25,000 คน ที่นี่ก็มีแมววิ่งไปวิ่งมาเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีโรงอาบน้ำแบบโรมันโบราณ ดูขลังและมีความซับซ้อนมาก จัดว่าเป็นสปาไฮโซของยุคนั้นเลย มีโซนอาบน้ำอุ่น โซนความร้อนใต้พื้น และโซนฮีทเตอร์เพื่อให้อากาศอบอุ่น
—————————-
ตามไปสำรวจตลาดเช้าพื้นเมืองแบบโพรวองซ์
Arles Provence Market คือ ตลาดเช้าแบบโพรวองซ์ที่ใหญ่ที่สุดแล้วสำหรับเมืองทางใต้ของฝรั่งเศส ตามปกติจะมี 2 ครั้งต่อสัปดาห์ คือทุกเช้าวันพุธและเสาร์ และวันเสาร์จะมีของเยอะกว่า มาเดินแล้วจะว้าวมาก ที่บริเวณใจกลางเมือง ถนนความยาว 2.5 กิโลเมตร เต็มไปด้วยร้านค้าเกือบ 500 ร้าน เดินสนุกแบบมากๆๆๆๆๆๆ แต่รีบมาเช้าๆหน่อย ตั้งแต่ประมาณ 9 โมง เพราะเที่ยงก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว
แน่นอนว่ามาโพรวองซ์ทั้งที คือต้องชิมอาหารทะเลสดๆ จากเมดิเตอร์เรเนียน เช่น หอยนางรม กุ้งตัวเท่าแขน ปลาหมึกตัวยาว ฯลฯ มีทั้งแบบสดๆ และแบบที่ปรุงแล้ว ผัด ทอด ใส่เครื่องเทศนานาชนิด คือดีงาม บางร้านก็ยืนผัดกันตรงนั้น กลิ่นยั่วยวนสุดฤทธิ์
ที่เราชอบมากคือพวกผลิตภัณฑ์โฮมเมดแบบออร์แกนิก อย่างพวกผลไม้ปลอดสารพิษ ขนมปัง แยม ผงชาหลากชนิด เครื่องเทศ สบู่ ฯลฯ
แต่ที่สุดของที่สุดคือน้ำผึ้ง นี่เกิดมาไม่เคยรู้ว่าจะมีน้ำผึ้งหลายชนิดได้มากขนาดนี้ ทั้งน้ำผึ้งภูเขา น้ำผึ้งใส่กลิ่นดอกไม้ต่างๆ แล้วก็มีน้ำผึ้งแบบแข็งๆ ข้นๆ หน่อย หน้าตาเกือบจะเป็นน้ำตาลปี๊บบ้านเราแล้ว ซึ่งเขาจะมีช้อนเล็กๆ ให้เราเลือกชิมได้ตามใจชอบ แต่ละร้าน ต่อให้เป็นน้ำผึ้งชนิดเดียวกัน แต่รสชาติก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะคะ ต้องลองไปเดินชิม แล้วจะเพลิดเพลิน
นอกนั้นก็จะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ในกระถาง สัตว์เลี้ยงอย่างไก่ กระต่ายก็มา ผ้าทอพื้นเมืองก็สวย รวมไปถึงเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ในราคาที่ถูกมากๆ และถ้าใครอยากเก็บกลิ่นอายของโพรวองซ์กลับไปที่บ้าน เขาก็มีลาเวนเดอร์แห้งกลิ่นหอมๆ ตักใส่ถุงแบ่งไว้ เอาไปใส่ตู้เสื้อผ้า หรือวางใต้หมอน ชีวิตก็จะเหมือนอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ตลอดเวลา 🙂
- ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเมืองอาร์ลส์ได้ที่ > Arles Tourism